ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีสองอย่างที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงในตัว
อย่างแรกคือผมรู้สึกว่าตัวเองรักและชอบในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ชอบงานครีเอทีฟ ชอบอยู่ดีๆ ก็นึกอะไรสนุกๆ แปลกๆ ออกมาได้เป็นฉากๆ โดยมีความฮาและความสนุกเป็นที่ตั้ง
ตัวอย่างเช่น มุขหลอกชาวบ้านในวัน April’s Fool, ลุกขึ้นมาเต้นอะไรก็ไม่รู้ในงานบายเนียร์, จับตุ๊กตาแมวกวักที่โต๊ะทำงานมาเป็นแมวกวักบั๊ก ฯลฯ โดยทั้งหมดเป็นการใช้ความฮาเป็นที่ตั้ง ขอเรียกว่า HaaApproch
แต่ในอีกมุมนึง โดยสัมมาอาชีพที่ทำอยู่ ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ ที่ต้องใช้สมองด้าน Logic นั่งคิดหาความถูกต้อง คำนวณประมวลผล ทำให้ได้ตามเป้าหมายโดยใช้ทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด ถ้า แล้ว นั่น หรือ ต้อง .. ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพียง 10% ของสิ่งที่ทำทั้งหมด
ไม่ได้จะบอกว่าไม่ชอบ เพราะผมชอบและรักงานที่ทำอยู่เป็นอันมาก ไม่งั้นคงไม่เขียนโปรแกรมมาตั้งแต่อายุ 13 หรอก
เมื่อกี้นี้ได้อ่าน A Day (ที่หลายคนให้นิยามว่า นิตยสารเด็กแนว เด็กติสต์) อ่านไปถึงบทสัมภาษณ์พี่ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับโฆษณามือหนึ่งของโลก .. ที่เรียกแบบนี้ไม่ใช่เพราะโม้แต่พี่แกได้รางวัลนี้จริงๆ แล้วก็ได้มา 5 ปีติดต่อกันแล้วด้วย จากเทศกาลเมืองคานส์ (Oscar ของวงการโฆษณา)
พี่ต่อได้รางวัลที่ครีเอทีฟทั่วโลกใฝ่ฝันอยากได้ แต่แกไม่เคยไปรับรางวัลเลยซักครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะติสต์ หรืออยากเท่ห์ แต่เพราะรู้สึกว่าเสียเวลาทำมาหากิน รางวัลเค้าให้เรา เราก็ดีใจ มีแรงทำงานต่อไป ทุกวันนี้สิงโตทองคำกลายเป็นที่คั่น DVD บนชั้นที่บ้านพี่แกไปแล้ว
ที่น่าสนใจคือแนวทางการทำงานของพี่แก คือแกเป็นคนติดดิน อยากช่วยเหลือสังคม มองโลกในมุมสังคมมากกว่าธุรกิจ แต่กลับต้องทำงานที่คิดโฆษณาเพื่อให้ผู้จ้างขายของให้ได้มากที่สุด
มันดูจะขัดแย้ง แต่แกก็ทำออกมาให้มันไปด้วยกันได้ .. โฆษณาซันซิลที่เล่นไวโอลินสะบัดผมไปมา แต่เรียกน้ำตาจากคนดูได้ .. โฆษณาประกันชีวิตที่แม่ดูแล้วน้ำตาไหล (Que Sera Sera) .. ล่าสุดโฆษณาขอโทษประเทศไทยที่โดนแบน
“ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟแล้วทำให้ลูกค้าขายของได้ คุณก็เป็นครีเอทีฟ แต่ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟที่ทำให้ลูกค้าขายของได้ และทำให้สังคมดีขึ้น คุณจะไม่เป็นแค่ครีเอทีฟ”
กรี๊ดดด โคตรชอบเลย
อืม .. นั่นสิ แล้วทำไมเราจะเอาสิ่งที่ชอบมาใช้ในงานไม่ได้ .. ถ้าทำไม่้ได้จริงๆ ก็ยังมีอีกตั้งหลายที่ให้ลองของ เอาไปใช้ในที่เรียนก็ได้ ไปทำอะไรประกวดเล่นก็ได้ มีอะไรอีกเป็นล้านอย่างที่ให้เราทำสิ่งที่ชอบได้ ไม่เห็นต้องไปยึดติดว่าต้องเป็นงานเลย
ว่าแล้วก็เปลี่ยนจากคำเชยๆ อย่าง .. I have no idea
มาเป็น I have idea no(w)