เช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2011 ผมทราบข่าวการเสียชีวิตของสตีฟ จ็อบส์จาก @CherryJaja ที่โทรมาปลุก ความรู้สึกแรกในตอนนั้นมันบอกไม่ถูก รู้สึกมึนๆ เบลอๆ แต่ก็ลุกขึ้นมากดดูจากโทรศัพท์ พอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง ก็เปิดคอมฯ อ่านข่าวโน่นนี่ให้วุ่น
พอรู้สึกตัวอีกที น้ำตาก็ไหลออกมา …
ผมนั่งร้องไห้เป็นเด็กน้อยอยู่นานพอสมควร ความรู้สึกมันไม่เหมือนกับคนใกล้ตัวต้องมาจากไป แต่มันเหมือนกำลังสูญเสียสิ่งที่เคยยึดเหนี่ยว และเป็นแรงบรรดาลใจมาตลอด คล้ายกับวันที่รู้ว่าไมเคิล แจ็คสันจากโลกนี้ไปแล้ว
มันอาจจะดูโอเวอร์ บางคนอาจจะถามว่าเป็นเอามากนะเนี่ย .. ซึ่งก็เป็นเอามากจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่ถ้าคุณได้รู้จักผม ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเพราะอะไร
ครั้งแรกกับแมค
คนรอบข้างผมจะรู้ว่า ผมมีสิ่งที่ชอบอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต และถ้าชอบก็จะชอบมากถึงขั้นเอามาเป็นส่วนนึงของชีวิต ซึ่งสตีฟ จ็อบส์และแอปเปิลก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่น่าเชื่อว่า ครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้จับเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเครื่องแมคอินทอช ตอนนั้นผมเรียนอยู่ป. 5 อายุแค่ 11 ขวบ วันนั้นผมไปนอนบ้านเพื่อนของพ่อ แล้วก็เปิดเกมส์บนคอมพิวเตอร์ให้ผมเล่น
ถึงแม้หลังจากนั้นผมจะไม่ได้ใช้แมคเพราะด้วยราคาที่สูงมาก แต่พ่อของผมก็ซื้อพีซีมาที่บ้านเครื่องหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นแรงบรรดาลใจทางด้านไอทีมาจนถึงวันนี้
บ้าแอปเปิล
ผมรู้สึกตัวมาตลอดว่าผมชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล เพียงแต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ผมติดตามข่าวสารของบริษัทนี้ ผ่านทางนิตยสาร และอินเทอร์เน็ต จนค่อยๆ รู้จักกับประวัติของสตีฟ จ็อบส์มากขึ้นทีละนิดๆ
สินค้าของแอปเปิลชิ้นแรกที่ผมซื้อคือ iPod Mini สีฟ้า ซื้อเมื่อปี 2005 และมันก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลย ครั้งแรกที่ผมหมุน Click Wheel เพื่อใช้งานมัน ผมถึงกับเผลอตะโกนออกมาว่า “สุดยอดดดดด”
หลังจากนั้นสินค้าแอปเปิลก็เริ่มเต็มบ้าน ไล่ตั้งแต่
- iPhone Original (2007)
- iPod Shuffle 3rd Generation (2007)
- Macbook Air 1st Generation (2008)
- iPad 1st Generation (2010)
- Apple TV 2nd Generation (2010)
- iPhone 4 (2010)
ไม่รวมอุปกรณ์เสริมพวกเม๊าส์ รีโมท หูฟัง ฯลฯ
ผมซื้อหนังสือไทยทุกเล่มที่เป็นเรื่องของสตีฟ จ็อบส์ รวมทั้งภาษาอังกฤษด้วยเท่าที่จะหาได้ เวลาว่างก็จะหยิบมันขึ้นมาอ่านอยู่เสมอๆ
งานอดิเรกของผม คือการดู Stevenote (การพูด Keynote ของสตีฟ จ็อบส์) ผมมีวิดีโอที่เขาพูด Keynote ทุกอันเท่าที่จะหาได้ วิดีโอให้สัมภาษณ์ ออกรายการโน่นนี่ เวลานั่งรถไปทำงานหรือกลับบ้าน ช่วงว่างก็จะหยิบมันขึ้นมาดูอยู่เสมอๆ จนภาพที่ผมใส่หูฟังสีขาว กลายเป็นภาพจำของใครหลายคน
บางครั้งก็รู้สึกอินมาก บางทีก็ขำไปกับมุขที่จ็อบส์เล่นบนเวที ทั้งที่ฟังมาเป็นสิบๆ รอบแล้ว
Stevenote ที่ดูบ่อยที่สุดคืองาน Macworld 2007 และคิดว่าเป็นการพูดที่ดีที่สุดเท่าที่จ็อบส์เคยทำมา (จ็อบส์เคยให้สัมภาษณ์ว่า งานเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกในวันนั้น คือการเปิดตัวสินค้าที่สำคัญที่สุดของบริษัทแอปเปิล)
iKhajochi
เรื่องตลกอีกอย่างคือ ทุกคนจะรู้ว่าผมบ้าแอปเปิลและสตีฟ จ็อบส์มาก จนเวลาที่ผมซื้ออะไรมาใหม่ ก็จะมีคนเดินเข้ามาแล้วบอกให้ช่วยโชว์ให้ดูหน่อยซิว่ามันดียังไง ซึ่งส่วนใหญ่พอผมเดโมให้ดูซัก 5-6 นาที สิ้นเสียง “โอ้ววว”, “ว้าววว”, “เจ๋งโคตรรรร” ก็จะถามราคา แล้วภายหลังคนรอบข้างผมก็เป็นสาวกแอปเปิลตามกันไปหมด
จากที่รอบตัวไม่มีใครใช้สินค้าแอปเปิลเลย ทุกวันนี้ผม Facetime คุยกับพ่อและพี่ชาย, เพื่อนๆ ผมใช้ Macbook Pro กันแทบทุกคน, เพื่อนๆ ในทีมใช้ iPhone กันหมด
จนเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศหลายคนแซวว่า โต๊ะทำงานของผมเป็น Apple Store สาขาย่อย และอย่าได้เดินแวะเข้าไปเด็ดขาด ไม่งั้นจะโดนเวทมนต์เสกให้กลายเป็นสาวกไปอีกคน
iStore
ถึงผมจะไม่ค่อยชอบร้าน iStudio ที่เมืองไทยเท่าไหร่ แต่ก็จะแวะไปทุกครั้งที่ไปเดินห้าง แค่ไปแตะโน่นนี่ ก็มีความสุขอย่างประหลาด
Apple Store สาขาแรกที่เคยไปมาคือที่ญี่ปุ่น คือพอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น สิ่งแรกที่ทำเลยคือเสิร์ชหาว่ามีร้าน Apple Store อยู่ตรงไหนบ้าง พอไปถึงก็ตรงดิ่งเข้าไปที่ร้านนี้เป็นเป้าหมายแรกทันที ทั้งที่จริงๆ แล้วบรรยากาศก็ไม่ได้ต่างอะไรมากไปกว่าร้าน iStudio ที่เมืองไทย
ผมพอจะรู้ว่าจ็อบส์เป็นคนออกแบบบันไดแก้วที่วนเป็นวงกลม สัญลักษณ์อย่างนึงของ Apple Store ปรากฏว่าผมไปเดินขึ้นๆ ลงๆ บันไดในร้าน ลูบๆ คลำๆ จนพนักงานในร้านมองด้วยสายตาแปลกๆ
ผมแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่จ็อบส์ออกแบบ มันหน้าตาเป็นยังไง ก็เท่านั้น (ก็บ้านเราไม่มีนี่นา)
อีกสาขาที่เคยไปคือ Regent Street ที่ลอนดอน ตอนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น Apple Store สาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่ามันคือเป้าหมายแรกของการไปเที่ยวลอนดอนในครั้งนั้น
ผมไปเดินเล่น เข้าๆ ออกๆ ร้านอยู่หลายรอบ ถ่ายรูปเหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จนพนักงานต้องมาเตือนบอกว่าห้ามถ่ายรูปในร้านนะ (แต่ก็ถ่ายไปเยอะแล้ว) ถึงขนาดเดินเล่นรอแถวนั้นรอให้ถึงเวลากลางคืน เพื่อแค่อยากจะถ่ายรูป Apple Store ตอนกลางคืนว่ามันหน้าตาเป็นยังไง
คำพูดของจ็อบส์
หลายคนชอบบอกว่าสตีฟ จ็อบส์เป็นศาสดา และคำพูดของเขาเป็นเหมือนคำสอนในศาสนาแอปเปิล เพื่อให้เหล่าสาวกนำมาบูชากัน
ซึ่งผมจะบอกว่ามันไม่ใช่ … มันเป็นมากกว่านั้นอีก
สำหรับผม คำพูดหลายต่อหลายอย่างของจ็อบส์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นแรงบรรดาลใจ บางทีถึงขนาดเป็นแนวทางการใช้ชีวิต
ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บ้าดีไซน์มาก จนแทบจะไม่สนใจว่ามันจะมีบั๊กแค่ไหน แม้แต่การเขียนโค้ด มันก็ต้องเป็นโค้ดที่ดูสวยงาม มีคอมเม้นต์ที่ดูดี ถูกต้อง เหมือนที่จ็อบส์บอกเสมอว่าทุกอย่างจะต้องสวยงาม เยี่ยมยอดทั้งจากภายนอก และภายใน
ผมเป็นคนที่บ้าทำพรีเซ็นต์มาก และใส่ใจกับทุกรายละเอียด เหมือนที่จ็อบส์ใส่ใจในพรีเซนต์ของเขา และซ้อมอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้สุดท้ายการนำเสนองานออกมาดูดี น่าสนใจ
ครั้งนึงผมเคยผิดหวัง กับเรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งมันหนักมากถึงขนาดไม่ต้องการจะทำงานในอาชีพนี้อีกต่อไปแล้ว ผมเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำ เก็บกระเป๋ากลับบ้าน นอนมองท้องฟ้าเหมือนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป เป็นอย่างนี้อยู่เกือบอาทิตย์
แต่ประโยค “Stay hungry stay foolish” ของจ๊อบ เหมือนมันจะดังก้องอยู่ในหู .. จริงๆ ผมไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันหรอก แต่แค่ได้ยิน มันก็รู้สึกว่า นี่เราจะมาเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ทำไมกันนะ ? แล้วหลังจากนั้นมา ผมก็ใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงสตีฟ จ็อบส์,
ครั้งนึงผมเคยคิดว่า ถ้าวันนึงสตีฟ จ็อบส์จากโลกนี้ไปแล้ว ผมจะเขียนอะไรถึงเขาบ้างดีนะ ไม่นึกว่าวันนั้นจะมาถึงในเวลาที่เร็วขนาดนี้
ผมรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด ที่จะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่คุณกำลังจะทำต่อไป … อีกแล้ว
สำหรับผม คุณเป็นไอดอล เป็นแรงบันดาลใจ เป็นหลายสิ่งหลายอย่าง เกินกว่าที่จะบอกให้คุณเข้าใจได้
ขอบคุณในทุกสิ่งที่คุณได้ทำมา คุณได้ทำมันสำเร็จแล้ว
และคุณจะยังอยู่ในใจตลอดไป
ปล. ผมส่งที่เขียนทั้งหมดหาคุณทางอีเมล์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ผมคิดว่าไม่ว่าจะอยากบอกคุณยังไง แค่หลับตา และคิดมันออกมาดังๆ ก็น่าจะเพียงพอ .. ผมเชื่อว่าคุณกำลังฟังผมอยู่
เอ็ม