ช่วงเดือนที่ผ่านมา ข่าวนึงในวงการรถยนต์ที่สะดุดหูผมซึ่งอยู่ในวงการไอทีมากที่สุด คงหนีไม่พ้นการที่ Honda จัดฟีเจอร์อย่าง Siri Eyes Free มาลงรถรุ่นมหานิยมอย่าง Honda City 2014
คือส่วนตัวผมชอบและก็ขับ Honda City อยู่ทุกวันครับ ค่อนข้างเข้าใจว่าการขับรถมันทำให้เราเสียความสามารถบางอย่างในโลกยุค 2.0 ไป ซึ่งก็เลยติดต่อเข้าไปที่ศูนย์เพื่อขอรีวิวฟีเจอร์นี้โดยเฉพาะ
แต่ตลอด 4 ชั่วโมงของการทดลองทั้งเรื่องของ Siri เรื่องของอุปกรณ์ไฮเทคในรถ รวมถึงได้ลองขับจริงๆ ดู ก็อดไม่ได้ที่จะรีวิวกระปรับโฉมครั้งใหญ่ หรือที่เค้าเรียกกันว่า All-New ของ Honda City ในครั้งนี้ครับ
อ่านเพิ่ม: รีวิว Siri Eyes Free ฟีเจอร์ใหม่บน Honda City 2014
[Advertorial]
ทำไมถึงเลือก Honda City ?
รถคันแรกที่ผมเลือกซื้อคือ Honda City ครับ ก็มีหลายคนถามเหมือนกันว่าทำไมเลือกฮอนด้าทั้งที่ในตลาดมีรถหลายยี่ห้อมากมาย
เหตุผลที่เลือกก็ค่อนข้างชัดคือผมเลือกซื้อแบรนด์ เลือกความเป็นตัวของเรา คือคาแรคเตอร์ของฮอนด้าค่อนข้างเข้ากับ Life Style ยุคใหม่ มีความเชื่อมั่นในตัวของตัวเอง คล้ายๆ กับเวลาเลือกแบรนด์อย่าง Nike หรือ Apple อารมณ์นั้น
รองลงมาคือเลือกราคาสมเหตุสมผล แล้วค่อยดูฟีเจอร์ของรถว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสุดท้าย Honda City ก็ตอบโจทย์ที่สุด ขับมา 2 ปีแล้วก็ต้องบอกว่าแฮปปี้มากๆ ไม่เจอปัญหาอะไรเลย รถยังสวยเช้ง ขับเทียบชาวบ้านได้ไม่อายใคร ^___^
รีวิว Honda City 2014
แรกเริ่มเลยคือ ถ้าดูจากภายนอก คือด้านหน้าเปลี่ยนไปเยอะมาก ดูแน่นขึ้น ไฟตัดหมอกดูเฉี่ยวดี คือถ้าเปิดสลับระหว่าง City รุ่นก่อนกับรุ่นนี้ คือจะรู้สึกได้เลยว่ารถดู Soft ลง ดูนุ่มนวลขึ้น
ด้านหลังก็สะท้อนกับดีไซน์จากด้านหน้า คือดูนุ่มนวลมากกว่าเดิม แต่เส้นด้านข้างตัวรถแอบเท่ห์ดีนะ
ด้านบนเสาอากาศ เปลี่ยนจากแบบเสาเส้นมาเป็นแบบครีบฉลาม (Shark Fin) อันนี้ก็เท่ห์ดี
สีที่ได้เห็นมี 4 สีคือขาว, ดำ, เงิน, น้ำตาล ส่วนตัวผมชอบขับรถสีขาวเพราะปลอดภัยดี แต่ยอมรับว่าเห็นสีดำแล้วมัน … โคตรเท่ห์เลยวุ้ยยยย >o<
ที่เปิดประตูเป็นแบบอัตโนมัติ แค่เราถือกุญแจเข้ามาใกล้ๆ รถ แล้วเอามือเข้าไปที่ช่องเปิดประตู รถก็จะปลดล็อคได้เลย หรือกดปุ่มเปิด/ปิดล็อคก็ได้ แต่เราจะต้องมีกุญแจอยู่ใกล้ตัวด้วยนะ
ที่เก็บของด้านหลังเปิดออกมากว้างขวางดี ตามรูปรถแบบสปอร์ต ซีดาน และพับเก้าอี้หลังลงได้ด้วย ซึ่งอันนี้สะดวกมาก รุ่นที่ผมใช้อยู่ก็พับลงมาได้ เวลาไป IKEA ซื้อตู้มาใส่ได้เลย อันนี้ลองมาแล้ว
ที่ปิดกระโปรงหลังรถก็แอบไฮเทคนะ คือถ้าเราลืมกุญแจไว้ที่หลังรถ พอปิดลงไปปุ๊บ มันจะเด้งเปิดขึ้นมาแบบ Auto เลย คือแบบว่า มีกุญอยู่นะ อย่าเพิ่งปิดสิ (ชอบๆ)
ชุดแต่งของ Honda City 2014 เหมือนจะมาแปลงโฉมเพิ่มความวัยรุ่นมากขึ้นเยอะเลย อันนี้คือชุดแต่งอย่างเป็นทางการของฮอนด้าเลยครับ
ด้านใน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือแผงควบคุมบนพวงมาลัย กับหน้าจอ Touch Screen ขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของรถรุ่นนี้เลย เพราะดูดีจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ผมชอบบอกว่า Honda City 2014 เป็นรถที่เหมาะกับ Geek มาก นั่นก็เพราะว่ามีจุดให้เชื่อมต่อ USB ถึง 2 จุด และมี Power Outlet ที่มีหัวต่อเป็น USB ไว้ชาร์จมือถือได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง คือนั่งหลังก็ชาร์จมือถือได้ด้วย
นอกจากนั้นมี Port HDMI และ AUX ถือว่าครบเซ็ท
แผงควบคุมบนพวงมาลัย มีจุดควบคุมที่ต้องบอกว่า “อย่างเยอะเลย” ทีจุดหลักๆ มี 4 จุดคือ
1. Cruise Control : ถือเป็นฟีเจอร์ที่รถรุ่นราคาสูงใช้กัน แต่มีใน City รุ่นใหม่แล้ว เอาไว้ตั้งความเร็วของรถอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องเหยียบคันเร่ง จากที่ลองต้องความเร็วเกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
2. Audio Control : ถึงจอจะเป็น Touch Screen แต่ระหว่างขับรถคงไม่มีใครไปแตะจออยู่แล้วครับ ก็มีแผงควบคุมเพิ่ม / ลดเสียง / เปลี่ยนเพลง รวมถึงปรับ Source ได้ว่าจะฟังเพลงจากวิทยุ, ซีดี, Bluetooth, USB
3. Hand Free : ปุ่มรับสาย / วางสาย และการเรียกใช้ Siri Eyes-Free Mode ผ่านแผงควบคุมนี้ โดยฟีเจอร์นี้เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับเครื่องเสียงรถ ผ่านทาง Bluetooth เสียก่อน
4. Paddle Shift : ปรับเพิ่มลดเกียร์ แบบ Manual สำหรับใครที่รู้สึกว่าปรับเกียร์รถแบบ Auto ไม่ทันใจ ก็ปรับเองได้เลย (มีในรุ่นท็อปเท่านั้น)
ทางด้านขวาของพวงมาลัยก็มีแผงควบคุมกระจกข้าง และมี ECON โหมดด้วย ซึ่งเป็นโหมดประหยัดพลังงาน ลองกดดูแล้วจะเห็นว่ารถมีการปรับอัตราการเร่งอะไรนิดหน่อย วิ่งอืดขึ้น แต่ข้อดีคือประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม
ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์คือปุ่ม Push Start คือไม่ต้องใช้กุญแจแล้ว ขึ้นรถปุ๊บ กดปั๊บ วิ่งได้เลย ตอนไปทดสอบแอบบ้านนอกนิดนึง คือก่อนกดต้องเหยียบเบรคค้างไว้ด้วย รถถึงจะ Start ได้นะจ๊ะ
มาตรวัดแสดงความเร็วรถ มีการเพิ่มแสงสีเขียวและฟ้าเข้ามา เพื่อแสดงระดับการขับที่ประหยัดน้ำมัน ทำให้รู้ว่าตอนนี้เราวิ่งอยู่ในโหมดประหยัดน้ำมันหรือเปล่า ด้านขวาจะแสดงเลขไมล์และนาฬิกาแบบ Digital ด้วย
บริเวณเบรคมือมีช่องให้ใส่ของอีก 2 จุดซ้ายขวา ซึ่งช่องวางยาวแนวนี้ ก็ต้องไว้วางโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตนี่แหล่ะ สะดวกสุดเลย
ระบบเครื่องเสียง
ส่วนที่น่าจะเป็นจุดขายของ Honda City รุ่นนี้เลย ซึ่งใครๆ ก็ต้องพูดถึง ก็คือระบบเครื่องเสียง ที่มีมาให้เป็น Full Option โคตรๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่ Siri นะ มีหลายอย่างที่น่าสนใจ
- หน้าจอสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว รองรับการดูหนัง ฟังเพลง พร้อม Air Auto ควบคุมแบบสัมผัสได้
- USB 4 port ใช้ชาร์จแบตได้แต่เข้าช้าหน่อย
- AUX port ต่อฟังเพลง อันนี้ปกติ
- HDMI 1 port !! ต่อดูหนังฟังเพลงได้
- มีกล้องส่องหลัง เวลาถอย เห็นด้านหลังบนจอเลย ปรับได้ 3 ระดับ จอใกล้ ไกล มุมมองจากด้านบน
- Bluetooth อันนี้เริ่มเป็นฟีเจอร์มาตรฐาน sync ข้อมูลกับมือถือได้
- ฟีเจอร์หลักที่ทดสอบ แน่นอนมันคือ Siri Eye Free รองรับ iPhone 4s ขึ้นไป
- ใช้แค่ Bluetooth ก็ต่อ Siri ได้เลย ไม่ต้องเสียบสายอย่างที่หลายคนเข้าใจ
- มีปุ่มพูดกับ Siri อยู่ด้านซ้ายของพวงมาลัย
- มีปุ่มรับสาย วางสาย สำหรับการโทรศัพท์
- พอ Sync ข้อมูลแล้ว Contact List กับ Recent Call จะไปเก็บไว้ในเครื่องเลย มี short key ปุ่มเดียวโทรหาคนรู้ใจ
- Build in Audio ไมค์อยู่ใกล้แอร์ ทำให้เวลาสั่งการต้องเสียงดังหน่อย
- ใช้ทุกอย่างที่ Siri ทำได้ สั่งให้โทรหาเพื่อน, อ่านตารางนัดหมาย, อ่าน/ส่ง SMS, ขอฟังเพลง, ถามโน่นนี่นั่นได้
- มี Maps ของ Honda มาให้ สำหรับใช้นำทาง เรียกว่า HondaLink Navigation แต่ถ้าไม่ชอบอยากใช้ Apple Maps, Google Maps จะแสดงบนจอใหญ่ไม่ได้ (ยังไม่ใช่ CarPlay)
- มีแอพพิเศษของฮอนด้า ชื่อ Honda Link พอลงแล้วจะบอกด้วยว่ารถของเราถึงเวลาเข้ารับบริการหรือยัง ใช้ระบบนำทาง HondaLink Navigation รวมถึง Roadside Assistance ที่บอกศูนย์บริการอยู่ที่ไหน เบอร์โทรศูนย์เบอร์อะไร ประกันเบอร์อะไร เวลามีปัญหาสามารถกดโทรจาก short key ได้เลย
- เวลามีคนโทรเข้า จะมีรูปที่เราใช้เมมในมือถือขึ้นมาโชว์บนจอด้วย (จากที่ทดสอบใช้มือถือ Android จะแสดงรูป แต่บน iPhone ยังไม่แสดงรูป)
- แสดงผลภาษาไทยได้ 100% ไม่มีสระตก สระลอย
- สามารถ Mirror หน้าจอ iPhone, iPad ขึ้นจอใหญ่ได้ด้วย !! ดูหนังลื่นไม่กระตุก
- ไม่ใช่แค่ iPhone, iPad แต่มือถือ Android ก็สามารถ Sync เข้าระบบเครื่องเสียงได้เช่นกัน โทรเข้าโทรออกได้หมด แต่จะไม่มี Siri เท่านั้น
- ภายในมีระบบจัดเก็บสถิติการใช้งานรถยนต์ด้วย วิ่งไปเท่าไหร่ ประหยัดน้ำมันแค่ไหน
จากที่ทดสอบดู ความรู้สึกของคนที่ขับ City รุ่นเดิมอย่างผมนี่บอกตามตรงว่าระบบเครื่องเสียงเป็นสิ่งที่อัพเดทจาก Honda City รุ่นเดิมมากที่สุดเลย อิจฉาง่าอยากได้ๆๆๆๆๆ
ซึ่งก็ไม่แปลกเลยที่ฮอนด้าจะเอาจุดนี้เป็นตัวชูโรง เพราะยุคนี้ใครๆ ก็ใช้สมาร์ทโฟน การเชื่อมต่อทั้ง Bluetooth, Wifi, HDMI ได้นี่คือมันมีประโยชน์หลายอย่างมั่กๆ
ทดลองขับ
หลังจากที่ได้ทดลองขับด้วยตัวเองประมาณ 20 นาที ถ้าช่วงออกตัวไม่ค่อยรู้สึกต่างจากเดิมมาก จะค่อยๆ เร่งตามสไตร์ฮอนด้า แต่ถ้าเร่งไปซักระยะช่วงเร็วเกิน 50-60 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว จะฉลุยมาก
วงเลี้ยวก็ตามสไตร์รถในเมือง หักได้เยอะเข้าจอดเข้าซองได้ง่าย ยิ่งมีจอให้ดูตอนถอยยิ่งง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น
น้ำมันเติม E85 ได้ด้วย !! อันนี้เหมาะกับใครที่ไม่อยากติดแก๊ซ เพราะน้ำมัน E85 ก็ถือว่าราคาประหยัดกว่าน้ำมันอื่นๆ เยอะอยู่นะ
เสียดายที่ได้ทดลองวิ่งไม่นานเท่าไหร่ คือถ้าได้ลองวิ่งระยะไกลหรือเร่งแรงกว่านี้ จะได้เห็นเรื่องการทรงตัว หรือไฟหน้าหลังเวลาวิ่งกลางคืน ซึ่งอันนี้ก็แนะนำให้ไปทดสอบที่ศูนย์กันดูนะครับ
ราคา
ราคาของ Honda City 2014 ในแต่ละรุ่นมีดังนี้
- S MT 550,000 บาท
- S AT 589,000 บาท
- V 649,000 บาท
- V+ 689,000 บาท
- SV 734,000 บาท
- SV+ 749,000 บาท
Note: รุ่นที่มีหน้าจอ Touch Screen และรองรับ Siri คือรุ่น V+ ขึ้นไป
:: สรุป ::
ข้อดี
- ปรับโฉมใหม่ทั้งคัน ภายนอกสวยเนียน ภายในกว้างขวาง เก็บของได้เยอะ พับเบาะหลังได้
- ระบบเครื่องเสียงแบบจอสัมผัส, เชื่อมโทรศัพท์กับสมาร์ทโฟน, รองรับ Siri, แสดงผลภาษไทย 100%
- มีกล้องมองภาพเวลาถอย ปรับได้ 3 ระดับ
- รองรับน้ำมัน E85 ประหยัดค่าน้ำมันไปได้เยอะ, รถฮอนด้าราคาขายต่อดี
- อุปกรณ์ความปลอดภัยมีให้ครบ ทั้งถุงลม 6 ตำแหน่ง, VSA, HAS, ESS
ข้อเสีย
- อัตราเร่งช่วงแรกจะไม่สูงมาก แต่พอเร่งไปถึงระดับนึงจะฉลุย
- Siri ยังไม่รองรับภาษาไทย และระบบเครื่องเสียงแบบจอสัมผัสมีเฉพาะรุ่น V+ ขึ้นไปเท่านั้น
- โปรโมชันยังไม่เยอะ เพราะรถเพิ่งออกใหม่
เทพอย่างนี้ต้องกราบบบบ |