รีวิว: เครื่องฟอกอากาศ Philips AC3256 ดีไซน์สวย, กำจัดสารก่อภูมิแพ้, เพื่อลูกและคนที่คุณรัก

ผมเป็นภูมิแพ้อากาศครับ ถ้าใครที่เป็นจะเข้าใจความลำบากของการอยู่ในเมืองที่ฝุ่นเยอะขนาดนี้ ทำให้เราจามทั้งวัน มีน้ำมูกแถมเป็นหวัดได้บ่อยมาก ทั้งที่สมัยเด็กผมไม่เคยเป็นเลยฮะ

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลังจากมีลูกน้อยเมื่อปีที่ผ่านมา “เครื่องกรองอากาศ” เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราพยายามมองหา ด้วยความที่อาศัยอยู่ในคอนโด และอากาศในกรุงเทพก็มีฝุ่นค่อนข้างมาก คือกลัวที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้อากาศเหมือนผมจริงๆ นะ

วันนี้ได้โอกาสดีที่ทาง Philips ส่งเครื่องฟอกอากาศ AC3256 ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดเลย ให้มาทดลองใช้งานเกือบเดือน เลยอยากมารีวิวให้ได้ชมกันครับ

[Advertorial]

เครื่องฟอกอากาศ ที่บอกได้ว่าอากาศในห้องเรา “ดีหรือแย่” แค่ไหน

เนื่องจากอากาศเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพราะงั้นบางทีเวลาที่เราจะซื้อเครื่องฟอกอากาศ เราก็งงสิฮะ ว่าเฮ้ยตกลงแล้ว เครื่องไหนฟอกได้ดีกว่ากันแน่ เพราะทุกคนก็บอกว่าของตัวเองดีหมด

อีกเรื่องคือใช้งานไป ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอากาศในห้องเรามันดีขึ้นจริงหรือเปล่า ?

แต่ตอนนี้มีตัวช่วยละครับ เพราะเจ้า AC3256 นี้มีหน้าจอระบุให้เห็นจะๆ ไปเลยว่าตกลงแล้วอากาศในห้องเราตอนนี้ มันแย่มากน้อยแค่ไหนกันแน่ !! แสดงผลแบบ Realtime ด้วย เป็นเทคโนโลยี AeraSense ลิขสิทธิ์ของฟิลิปส์โดยเฉพาะ

ซึ่งค่าที่นำมาแสดงคือ PM 2.5 ซึ่งเป็นตัวเลขที่บอกระดับของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งในหลายประเทศก็มีการใช้ค่านี้ในการวัดคุณภาพอากาศด้วย

ทำให้พอแกะเครื่องออกมาปุ๊บ ผมลองเอาไปเปิดในห้องนอนดูก่อนเลยฮะ ว่าตอนนี้ฝุ่นหรืออากาศในห้องที่ลูกนอนนั้น มันแย่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ค่า PM 2.5 เท่ากับ “31 !!” (มันคืออะไร เดี๋ยวอธิบายตอนหลังครับ)


ทดสอบใช้งาน Philips AC3256

หลังจากที่แกะกล่องออกมาก็พบกับเครื่องฟอกอากาศที่ขนาดใหญ่พอสมควรเลยนะเนี่ย คือสูงตั้ง 79 เซนติเมตร ส่วนน้ำหนักก็อยู่ที่ 9 กิโลกรัม

ตอนยกไปวางก็รู้สึกหนักอยู่ โชคดีที่เป็นอุปกรณ์ที่ไม่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อย นานๆ ทีจะขยับซักครั้ง

เนื่องจากเป็นเครื่องฟอกอากาศที่มาจากเนเธอร์แลนด์ ถ้าดูที่ดีไซน์ ก็ต้องบอกว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ดีไซน์งามหยดมาก เรียบหรู สามารถวางเป็นเครื่องประดับในห้องนั่งเล่น ห้องนอนได้ ไม่แปลกตาแต่อย่างใด

แกะฝาเครื่องออกมา ก็จะเจอกับไส้กรอง ซึ่งมีมาทั้งหมด 3 ชั้น

  • Pre-Filter : แผ่นกรองชั้นแรก ใช้ดักจับฝุ่นขนาดใหญ่ อันนี้ถอดล้างทำความสะอาดได้
  • Carbon Filter : แผ่นกรองกลิ่น ซึ่งจุดเด่นคือเป็นรูพรุนระดับนาโนเมตร มีพื้นที่ผิวสัมผัสอากาศรวมเทียบเท่าสนามฟุตบอล 3 สนาม ดูดกลิ่นได้แน่นอนมาก ลูกอึยังไม่รู้ตัวเลยนะ #ฮา

  • HEPA Filter : ส่วนสำคัญที่สุดเพราะจะกรองฝุ่นได้ละเอียด ซึ่งไส้กรองที่ให้มาก็มีความหนาถึง 60 มิลลิเมตร น่าจะหนาสุดเท่าที่ผมเคยใช้มาเลย แถมไส้กรองยังสามารถกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97 %, กรองอนุภาคละเอียดซึ่งมีขนาดเล็กสุดได้ถึง 0.02 ไมครอน (20 นาโนเมตร) ช่วยได้แน่นอนกับการกรอง ฝุ่น ควัน ละอองเกสร รา แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ และไวรัส

ด้านหลังเป็นดีไซน์โค้ง ด้านบนเป็นส่วนข้อให้จับยกไปมาได้ ส่วนด้านล่างเป็นช่องสำหรับดูดอากาศเข้าไป ซึ่งทั้งเครื่องมีการออกแบบให้อากาศเข้าได้ทั้งหมด 3 ทางเลยทีเดียว

ด้านบนเป็นจอระบบสัมผัส เลือกโหมดการใช้งานก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก คือเปิดแบบ Auto เลยก็ง่ายดี หรือจะปรับระดับแรงลมเองได้ 1-2-3-4-5 ระดับ

แต่ที่ผมเปิดบ่อยสุดคือโหมด AL (Allergen Mode) จะทำให้เซนเซอร์ของเครื่องไวต่อ “สารก่อภูมิแพ้” มากเป็นพิเศษ และจะปรับแรงลมตามปริมาณฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้แบบอัตโนมัติเลย อันนี้ดีงามมากๆ

โหมดอื่นๆ ก็จะมีตั้งเวลาปิดเครื่องได้, ปรับระดับไฟแสดงผล หรือโหมดป้องกันเด็กก็มีนะ เผื่อลูกชอบปีนมากดเล่น

ก่อนหน้านี้ที่บอกไว้ว่าพอเปิดในห้องนอนครั้งแรก ผมวัดค่า PM 2.5 ได้เท่ากับ 31 ซึ่งเมื่อดูจากตารางก็จะเห็นว่าเป็นค่าอากาศที่ดี (Good) แต่กำลังจะเข้าไปกลุ่มที่ระดับพอใช้ได้ (Fair)


ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องจำค่าในตารางเลยฮะ เพราะไฟที่แสดงบนตัวเครื่องในแถบวงกลม สีที่ออกมานี่แหล่ะที่จะบอกว่าอากาศเราดีมากน้อยแค่ไหน เรียงจากดีมากไปแย่คือ ฟ้า, ฟ้าม่วง, แดงม่วง, แดง ตามลำดับ

อันนี้ผมว่าเค้าดีไซน์เข้าใจง่ายดีนะ เพราะบอกตามตรงว่าทีแรกเห็นเลข PM 2.5 ก็คิดในใจเลยว่าใครจะจำค่ามันได้หนอ แต่พอทำเป็นวงกลมสีๆ ก็เข้าใจง่ายดี

ประสบกาณ์ทดลองใช้เครื่องฟอกอากาศนานกว่าเดือน

เนื่องจากอากาศจะดีขึ้นได้มันมีปัจจัยหลายอย่าง ผมก็เลยขอทดสอบเจ้าเครื่องนี้นานหน่อย ซึ่งหลังจากที่เปิดใช้งานจริงนานหลายสัปดาห์ ก็พบความเปลี่ยนแปลงเลยนะ

อย่างแรกเลยคือฝุ่นที่ห้องเริ่มหายไป พิสูจน์ได้ง่ายมากๆ เลยคือไปเปิดไส้กรองออกมาล้าง ตอนเห็นฝุ่นที่เกาะแล้วแทบจะกรี๊ดดดด ดังๆ ฝุ่นเยอะมากกกกก

นี่แค่ฝุ่นชั้นนอกนะ ยังมีฝุ่นตัวเล็กๆ ที่ไว้กรองชั้นในดักไว้ได้อีก ทำให้คิดในใจเลยว่า นี่คืออากาศที่เรากับลูกต้องสูดเข้าไปทุกวันทุกคืนเหรอเนี่ย >___<

ความเปลี่ยนแปลงส่วนตัวผมคือภูมิแพ้เริ่มลดน้อยลง เวลาตื่นเช้าที่ปกติจะจามไม่หยุด น้ำมูกไหลตลอด ก็เริ่มลดลงครับ แต่ใช่ว่าจะหายภูมิแพ้นะ ไม่ใช่ขนาดนั้น แต่คือมันดีขึ้นจนรู้สึกได้

เครื่องฟอกอากาศหลายตัวใช้วิธีปล่อยประจุไฟฟ้า ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วงหากเรามีลูกหรือเด็กในบ้าน เพราะก๊าซที่เกิดจากประจุพวกนี้จะระคายเคืองทางเดินหายใจของเด็กด้วย

แต่กับ AC3256 ใช้เทคโนโลยี Vitashield IPS คือไม่มีการปล่อยประจุไฟฟ้าใดๆ ออกมา

พอใช้แล้วก็ดูเหมาะกับน้องวชิเหมือนกัน เพราะปกติเป็นเด็กที่ไวต่อเสียงมากเวลานอนหลับ คือแค่มีใครบิดประตูเข้าห้อง เอี๊ยดเดียว น้องวชิก็ตื่นแล้ว ยิ่งเครื่องฟอกอากาศตัวเก่าๆ ที่เคยใช้นี่ดังสนั่นเลย

มาทดลองใช้เครื่อง AC3256 นี่ต้องยอมรับฮะว่า “เงียบมากกกก” เจ้าลิงน้อยไม่ตื่นมากวนเลย แต่เวลานอนดึกๆ ก็จะกดโหมดปิดไฟ ให้แสงไม่กวนเวลานอนครับ

อีกเรื่องที่เคยเจอปัญหา คือเจ้าลิงน้อยติดเล่นตุ๊กตาฮะ ต้องนอนกอดพี่หมีหลายตัว ไม่งั้นไม่ยอมหลับ ซึ่งก็มักจะมาพร้อมฝุ่นกระจาย

แอบเห็นเลยว่าพอเอาตุ๊กตามาเล่นในห้อง ค่า PM 2.5 ก็วิ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที ก็รู้เลยว่าต้องปรับความแรงของลมเพิ่มหน่อย หรือถ้าเปิดโหมด Auto เครื่องก็จะปรับระดับลมให้อัตโนมัติ ช่วยกรองอากาศได้มากขึ้น (เป็นข้อดีของการมีตัววัดค่าอากาศในห้อง)

รายละเอียดสินค้า

  • ชื่อรุ่น PHILIPS AC3256/20 
  • ใช้กับพื้นที่ไม่เกิน 76 ตร.ม.
  • ระดับความดังของเสียง 32.5 – 63.8 dB(A)
  • ตัวเครื่องทำจากพลาสติก ไม่เป็นสนิม น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย
  • รับประกัน 5 ปี (ไม่รวมไส้กรอง)
  • ราคา : 24,990 บาท
  • สั่งซื้อได้ที่ Central Online, Powerbuy, Lazada

:: สรุป ::

ข้อดี

  • เครื่องฟอกอากาศรุ่นใหม่ล่าสุด ประสิทธิภาพขั้นเทพ กรองได้ละเอียดมากๆ
  • ดีไซน์สวยงาม การออกแบบดี ใช้ง่าย เข้าใจง่าย
  • มีหน้าจอบอกคุณภาพอากาศในห้อง ระบุเป็นตัวเลขชัดๆ เลย ทำให้รู้ว่าอากาศตอนนี้ดีหรือแย่แค่ไหน
  • รับประกัน 5 ปี (ปกติเครื่องฟอกอากาศรุ่นอื่นๆ จะรับประกัน 2 ปี)

ข้อเสีย

  • ขนาดเครื่องค่อนข้างใหญ่
  • ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงกันก็ถือว่าราคากำลังดี

โดยสรุปแล้ว เครื่องฟอกอากาศ Philips AC3256 ถือเป็นรุ่นท็อปที่มาพร้อมความสามารถขั้นสุดหลายอย่าง ทั้งการกรองที่ละเอียดมากๆ ดีไซน์ที่สวยงาม การทำงานเงียบกริบ มีตัววัดคุณภาพอากาศในห้องมาตรฐาน PM2.5 ให้เห็นเป็นตัวเลขเลยด้วย

แต่ด้วยประสิทธิภาพขนาดนี้ ก็มาพร้อมราคาที่สูงอยู่ซะหน่อย แต่เรื่องสุขภาพกับราคาก็พูดยาก เพราะแต่ละคนก็ให้ความสำคัญไม่เท่ากัน

ถ้าคุณกำลังมองหาอุปกรณ์ที่ทำให้มั่นใจได้ว่า อากาศในห้องของเราจะสะอาด ลดฝุ่นละอองหรือโอกาสเกิดโรคทางอากาศต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกับลูกน้อย ก็ขอแนะนำครับ

อ่านเพิ่มเติม – Philips AC3256