กลับมาแล้วกับซีรีย์ขวัญใจวัยรุ่นอันดับต้นๆ ของไทย “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 3” ซึ่งในซีซั่นนี้มีการประกาศออกมาว่าจะเป็น ซีซั่นสุดท้าย (The Final Season)
แน่นอนว่าต้องมีคำถามที่ตามมามากมายว่า ทำไมถึงเป็นซีซั่นสุดท้าย ? รวมถึงเมื่อตามอ่านจากใน Social Media ก็จะมีหลายคนวิจารณ์กันต่างๆ นาๆ เช่น ฮอร์โมนถึงจุดตกต่ำแล้วเลยเลิกทำ, ซีซั่น 2 คนดูลดลง, ไม่มีสปอนเซอร์เข้ามารึเปล่า, ทีมงานมีปัญหากันภายใน ฯลฯ
ซึ่งผมได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยสัมภาษณ์กับ “ปิง เกรียงไกร วชิรธรรมพร” @pingvachir ผู้กำกับฮอร์โมนซีซั่น 2 และ 3 ที่ GTH ถึงที่มาที่ไปของการประกาศจบในครั้งนี้ รวมถึงเรื่องราวของซีซั่น 3 ว่าจะเป็นอย่างไร ลองมาฟังเหตุผลจริงๆ จากทีมผู้สร้างกันดูครับ
ทำไม “ฮอร์โมน 3” ถึงเป็นซีซั่นสุดท้าย ?
ปิงเปิดบ้านนาดาวบางกอก ซึ่งอยู่ข้างๆ กับ GTH ให้เราได้เข้าไปสัมภาษณ์อย่างอารมณ์ดี ซึ่งบรรยากาศข้างในนาดาวก็ดูโปร่งสบาย เหมาะแก่การคิดไอเดียกันมาก
Me : คำถามแรกเลย น่าจะถูกถามบ่อยที่สุด ทำไมฮอร์โมน 3 ถึงเป็นซีซั่นสุดท้าย
Ping : เหตุผลหลักๆ เลยเกิดจากความ ‘อิ่มตัว’ ของทีมงานครับ
Me : ใช้คำว่าอิ่มตัวเลยเหรอ ?
Ping : ใช่ครับ คือตอนแรกพวกเราลังเลกันด้วยซ้ำครับว่าจะทำซีซั่น 3 กันรึเปล่า เพราะว่าจริงๆ ซีซั่น 2 ก็เหมือนจะจบได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว คือการทำฮอร์โมนจริงๆ มันเหนื่อยมากเลยฮะ มันเหมือนเราเอาเวลาทั้งชีวิตตลอดทั้งปี ไปไว้กับฮอร์โมนเลย เขียนบทก็หนักมาก กองถ่ายก็หนักมาก
รวมถึงทีมงานเขียนบทชุดเก่า ที่เราคุ้นเคยกันมา ทุกคนก็รู้สึกเหมือนอยากไปทำอย่างอื่นบ้างแล้ว ทุกคนก็ลังเลกันว่าจะกลับมาเขียนดีหรือเปล่า
มีปาฏิหาริย์ที่จะเกิดฮอร์โมน 4 ไหม ?
“ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคตมากๆ ครับ”
Me : แล้วอะไรเป็นจุดตัดสินใจว่าซีซั่น 3 เป็นซีซั่นสุดท้าย
Ping : พอทีมงานเริ่มลังเลกัน พี่ย้ง (ผู้กำกับฮอร์โมนภาคแรก) ก็ยื่นคำขาดว่า งั้นถ้าจะทำกันต่อ ก็ให้ซีซั่น 3 เป็นซีซั่นสุดท้ายแล้วกัน เพราะถ้าฮอร์โมน 4 แล้วผมจะไม่ทำต่อ หรือทีมเขียนบทจะไม่ทำต่อ เค้าก็มองไม่เห็นว่าจะเอาใครขึ้นมาทำฮอร์โมนต่อไปได้อีก
พอพี่ย้งฟันธงมาอย่างนี้ ผมก็ตอบตกลงทำต่อในซีซั่น 3 รวมถึงทีมเขียนบทเดิมก็ตกลงทำต่อครับ
Me : แต่ปีที่แล้วตอนที่เราคุยกัน (อ่านบทสัมภาษณ์ ปิง ในการทำฮอร์โมน 2) ก็เหมือนว่าทุกอย่างจะปูมาซีซั่น 3 อยู่แล้วรึเปล่าครับ ?
Ping : จริงๆ แล้วถ้าใครดูตอนจบของซีซั่น 2 ก็เหมือนว่าจะมีการเผื่อซีซั่น 3 ไว้ แต่ในความเป็นจริงมันก็สามารถจบตรงนั้นได้เช่นกันฮะ
“ณ วันสุดท้ายของการถ่ายทำ ช่วงนึงก็รู้สึกวูบเหมือนกันนะ”
Me : แล้วช่วงเวลาที่สรุปเรื่องนี้กันคือช่วงไหนครับ
Ping : คือหลังจากที่เราถ่ายซีซั่น 2 จบไป แล้วก็มีการตัดต่อเพื่อออกฉาย ประมาณกลางๆ ซีซั่น ก็เริ่มมีการพูดคุยเรื่องซีซั่น 3 แล้วครับ ซึ่งตอนนั้นทีมงานก็สรุปกันแล้วฮะ ว่าจะทำต่อ และฮอร์โมน 3 จะเป็นซีซั่นสุดท้าย
Me : โห นั่นหมายความว่าเรื่องการจะจบฮอร์โมนที่ซีซั่น 3 นี่เก็บมาเป็นปีแล้ว
Ping : ใช่ครับ คือช่วงเขียนบทมันจะเริ่มที่ประมาณกันยายนของปีที่แล้ว ลากยาวมาถึงต้นมีนาคมของปีนี้ ใช้เวลาเขียนบท 7-8 เดือนได้เลยครับ
จะไม่มี “ฮอร์โมน 4” แล้วจริงๆ หรือ ?
Me : จากบทสัมภาษณ์ของพี่ย้ง เมื่อตอนซีซั่นแรก เคยบอกว่าอยากให้ฮอร์โมนเป็นเหมือนซีรีย์ฝรั่ง ที่มีต่อยอดไปเรื่อยๆ 4-5 ซีซั่นได้เลย
Ping : ผมว่าก็เป็นหลักการเดียวกันครับ คือถ้าเราอยากทำ ก็อยากจะทำให้มันดีฮะ ถ้าเราดูที่เนื้อหา ในความเป็นฮอร์โมนคือซีรีย์ที่พูดถึงปัญหาของวัยรุ่น “อย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งสามารถต่อยอดไปได้อีกเป็น 10 ซีซั่นเลยฮะ
แต่ปัญหาคงเป็นคนที่มาทำมากกว่าครับ คือการทำฮอร์โมนผมว่าหาคนทำยากมาก ทีมเขียนบทเองต้องใจกว้างมาก ที่จะไปทำความเข้าใจกับเด็กที่หลากหลาย เราเองก็ไม่สามารถหาทีมเขียนบทที่สามารถมาทำได้ง่ายขนาดนั้น
ประเด็นที่ไม่ทำต่อ ผมว่าเป็นเพราะการหมดทีมงาน มากกว่าหมดที่เนื้อหาครับ
Me : มีหลายคนที่เสียดายว่าทำไมไม่ลองทำต่อไปเรื่อยๆ ?
Ping : เราเองก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าเราดื้อทำต่อไป โดยที่ทีมงานเป็นทีมอื่น ทั้งที่เราก็ยังมองไม่เห็นภาพว่ามันจะออกมาเป็นยังไง อาจจะไม่ดีเท่า เราปิดมันในวันที่เราพร้อม เราปิดมันอย่างสวยงามที่สุดครับ
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาครับ ฮอร์โมนสามารถต่อยอดทำไปจนซีซั่น 10 ได้ แต่อยู่ที่ทีมงานมากกว่า ว่าเราไม่สามารถหาใครมาทำต่อได้”
Me : เพราะฉะนั้นในการเขียนบท ก็จะมีผลรึเปล่าว่าจะพยายามให้ซีซั่นนี้จบในตัวและอาจจะไม่มีต่อยอด ?
Ping : ใช่ครับ ถ้าในมุมการทำงานก็จะคิดกันตลอดเลยครับ ว่าทำให้มันจบในตัว โดยที่ไม่ต้องไปต่อยอดอะไรอีก เราคิดว่าจะเริ่มแล้วจะลงเอยยังไง อะไรที่ค้างคา เราก็จะพยายามให้มันจบไปเลยครับ
Me : มีโอกาสหรือปาฏิหาริย์อะไรซักอย่างไหม ที่จะทำให้ “ฮอร์โมน 4” กลับมาได้ ?
Ping : ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคตมากๆ ครับ ถ้าจะให้พูดกว้างๆ คือฮอร์โมนคงจะจบที่ซีซั่น 3 นี้แหล่ะครับ แต่ถ้าในอนาคต เมื่อมีคนที่พร้อม เช่น สมมุติพี่ย้งอยากกลับมาทำอีก หรือมีผู้กำกับหน้าใหม่ ทีมเขียนบทชุดใหม่ ที่ดูมีศักยภาพพอ มันก็อาจจะมี “ฮอร์โมน 4” กลับมาได้ครับ
Me : ใจหายไหม
Ping : ณ วันที่ปิดกอง สัปดาห์ที่ผ่านมา พอถ่ายซีนสุดท้ายเสร็จตอนตี 3 แล้วได้มีโอกาสมานั่งนิ่งๆ อยู่คนเดียว … มันก็มีวูบเหมือนกันนะ
คือตอนนั้นคิดว่า นี่คือสิ่งที่เราอยู่กับมันมานานมากตลอด 3 ปี แล้วถ้าหลังจากนี้เราไม่ได้อยู่กับมัน เราก็ไม่รู้ว่า ณ เวลานี้ปีหน้า เราจะกำลังทำอะไรอยู่
คิดว่าวันสุดท้ายที่ฉายซีซั่น 3 น่าจะวูบกว่านี้อีกครับ 555 (หัวเราะ แต่เสียงเศร้าๆ)
Me : 3 ปีที่ทำมา “ฮอร์โมน” ให้อะไรกับปิงบ้างครับ
Ping : อืม … (คิดนาน) อย่างแรกคือเรื่องการทำงานครับ ผมได้เรียนรู้การทำหนัง การสื่อสารกับคนดู อะไรมากไป อะไรน้อยไป เราได้เรียนรู้มาตั้งแต่ซีซั่น 1 ว่าบทหนังแค่นี้ไม่พอหรอก พอซีซั่น 2 ได้มากำกับก็ได้รู้ว่ามุมกล้องแค่นี้ไม่พอนะ
พอมาทำซีซั่น 3 เหมือนการสอบ Final ของผมแล้วครับ ว่าผมสอบผ่านรึเปล่าในการเป็นผู้กำกับ
ตลอดปีที่ผ่านมา ทีมงานทุกคนรู้มาตลอดฮะว่านี่คือซีซั่นสุดท้าย แต่เก็บเป็นความลับเอาไว้
อีกส่วนหนึ่งที่ได้จากฮอร์โมน คือการที่ผมได้สัมผัสกับเด็กๆ ที่มีความหลากหลาย มันทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้วโลกนี้มันมีคนที่คิดต่างกันอยู่มากมายเลยนะ แล้วความคิดต่างนี่แหล่ะที่ทำให้คนไม่เข้าใจกัน การทำฮอร์โมนเลยเหมือนการเอาคนที่คิดต่าง มาคุยกัน ให้เขาเข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงได้มีความแตกต่างกัน
การทำฮอร์โมน 3 ปี ทำให้เราเปิดรับมากขึ้น เราเข้าอกเข้าใจคนที่แตกต่างกัน เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติครับ ที่ทุกคนจะแตกต่างกัน
Me : แล้วสิ่งที่ได้จากคนดูล่ะครับ
Ping : โอ้ ฮอร์โมนมอบสิ่งพิเศษให้กับผมมากเลยครับ โดยเฉพาะเรื่อง Feedback จากคนดู เช่น มีคนส่งมาบอกว่าเขาดูฮอร์โมนแล้ว เค้าหันไปกอดแม่ หลายคนดูแล้วเข้าใจคนอื่นๆ
พวกความรู้สึกอย่างนี้ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย งานของเรามันส่งผลกระทบกับชีวิตของใครหลายคนได้ด้วย ความภูมิใจของการที่ได้ทำฮอร์โมน คือการที่ได้เห็นว่า งานของเราสามารถทำให้แต่ละคนเข้าใจกันมากขึ้น รับฟังกันมากขึ้น
ยังมีคำถามอีกเยอะมากกับ “ฮอร์โมน ซีซั่น 3” ทั้งเรื่องของเนื้อหาที่จะแรงกว่าเดิมไหม, ดาวก้อยจะมีบทสรุปอย่างไร, นักแสดงเก่าที่หายไปจะมีโอกาสกลับมาโผล่ในซีซั่นนี้รึเปล่า รวมไปถึงบทของตัวละครต่างๆ ใครที่ถือเป็นไฮไลท์ของซีซั่นนี้
ด้วยพื้นที่จำกัด เลยขอยกยอดไปต่อที่บทสัมภาษณ์ในตอนหน้าครับ
– ขอบคุณ GTH และ นาดาวบางกอก สำหรับสถานที่สัมภาษณ์