ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่เราได้สัมภาษณ์กับ “ปิง เกรียงไกร วชิรธรรมพร” @pingvachir ผู้กำกับฮอร์โมนซีซั่น 2 และ 3 ที่ GTH ถึงเหตุผลในการตัดสินใจ จบซีรีย์ฮอร์โมน ไว้ที่ซีซั่น 3 ซึ่งประกาศเป็น The Final Season (อ่านเพิ่ม : ทำไม “ฮอร์โมน 3” ถึงเป็นซีซั่นสุดท้าย? ฟังจากปาก “ปิง เกรียงไกร” ผู้กำกับ)
ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้กำกับทั้งที เรามาพูดถึงเนื้อหา ที่มาที่ไป และเบื้องหลังที่น่าสนใจของฮอร์โมน 3 ที่กำลังจะเริ่มฉายตอนที่ 1 แล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการติดตาม เลยขอสรุปเป็น 10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนดูฮอร์โมน 3 ดังนี้ครับ
1. ฮอร์โมน 3 คือซีซั่นสุดท้ายจริงๆ และจะไม่มีฮอร์โมน 4 แล้ว
คุณปิง ให้เหตุผลหลักในการประกาศปิดซีรีย์ฮอร์โมนไว้ที่ซีซั่น 3 เป็นเพราะเรื่องของทีมงาน ที่ทำงานหนักกันมาก ใช้เวลาตลอด 3 ปีกับซีรีย์เรื่องนี้ ทำให้แต่ละคนก็เริ่มอยากลองทำโปรเจ็คอื่นๆ บ้าง สุดท้ายพี่ย้ง (ผู้กำกับฮอร์โมน 1) เลยฟันธงว่า ในเมื่อจะไม่มีทีมงานชุดเดิมนี้ ก็ขอให้ทำฮอร์โมน 3 เป็นซีซั่นสุดท้ายแล้วกัน
ซึ่งเมื่อเราถามถึงว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรซักอย่างไหม ที่จะทำให้ “ฮอร์โมน 4” กลับมาได้ ?
คำตอบก็คือ “ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของอนาคตมากๆ ครับ ถ้าจะให้พูดกว้างๆ คือฮอร์โมนคงจะจบที่ซีซั่น 3 นี้แหล่ะครับ แต่ถ้าในอนาคต เมื่อมีคนที่พร้อม เช่น สมมุติพี่ย้งอยากกลับมาทำอีก หรือมีผู้กำกับหน้าใหม่ ทีมเขียนบทชุดใหม่ ที่ดูมีศักยภาพพอ มันก็อาจจะมีฮอร์โมน 4 กลับมาได้ครับ”
2. รุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว อาจจะมีโอกาสกลับมาโผล่ในซีซั่น 3 (รึเปล่า)
สำหรับใครที่ยังคิดถึง วิน, ขวัญ, หมอก, ต้า, เต้ย, ไผ่, สไปรท์, ภู, ธีร์ ก็ต้องแสดงความเสียใจด้วยที่พวกเขาไม่ได้เป็นนักแสดงนำในฮอร์โมน 3 อีกแล้ว หลักจากที่เป็นตัวหลักมาตลอดใน 2 ซีซั่นแรก ซึ่งก็ด้วยเหตุผลที่ทั้งหมดจบการศึกษา ม.6 ไปแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ดี เมื่อเราถามถึงโอกาสที่จะได้เห็นรุ่นพี่ฮอร์โมน (ขอใช้คำนี้แล้วกัน) กลับมาให้แฟนๆ ได้กรี๊ดกร๊าดในฮอร์โมน 3 บ้างรึเปล่า ? ทางปิงก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่า “มีคนถามเรื่องนี้มาเยอะมากเลยครับ ก็จะขอไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ขอคอนเฟิร์มว่ามี ให้รอดูแล้วกันนะ” #แหม่
3. ตัวละครใหม่ ถูกเขียนบทขึ้นมาจากชีวิตจริงของนักแสดงชุดใหม่
ถ้าใครยังจำได้ ตั้งแต่ฮอร์โมน 1 ที่เราจะได้เห็นบทของตัวละครแต่ละตัวนั้น เป็นการเอาบุคลิคและชีวิตจริงบางส่วนของนักแสดง มาใช้ด้วย เช่น “ต่อ” เคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน และก็เคยบวช เลยเป็นที่มาของ “ไผ่”
ปิงอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ว่า เพราะจริงๆ แล้วฮอร์โมนถือเป็นโปรเจ็คหนึ่งสำหรับการพัฒนาศักยภาพของนักแสดงในสังกัดนาดาวบางกอก ซึ่งการให้นักแสดงหน้าใหม่ มาแสดงเป็นตัวละครที่มีความคล้ายตัวเอง จะทำให้พัฒนาเด็กขึ้นมาได้ง่ายกว่า
และตัวละครใหม่ในฮอร์โมน 3 ก็เช่นกัน สำหรับตัวละครหลักทั้งหมด 14 คน เป็นชุดเดิมที่เราเห็นในซีซั่น ก่อนมาแล้ว 7-8 คน (ดาว, ก้อย, ขนมปัง, ซัน, นน, ออย, เจน, เภา) ที่เหลือนักแสดงใหม่ จะมีบทและบุคลิคที่คล้ายกับชีวิตของพวกเขาเช่นเดียวกัน
4. นักแสดงจาก Hormones The Next Gen ถูกเรียกกลับมา (แล้วเบบี้มายด์หายไปไหน ?)
จากโปรเจ็คค้นหาฮอร์โมนเลือดใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา จนได้ผู้เข้ารอบ 12 คน และสุดท้ายมาแสดงจริงเพียง 5 คน (แพรวา, ต้าเหนิง, ฟรัง, เจมส์, แบงค์) เนื่องจากบทที่เขียนเอาไว้ในฮอร์โมน 2 มีที่ว่างเพียง 5 ที่เท่านั้น
ซึ่งมาในซีซั่น 3 นี้คนที่เคยเข้ารอบก็ถูกเรียกตัวกลับมา เพื่อมารับบทนำในฮอร์โมน 3 ไม่ว่าจะเป็น พี, คลอดีน, แพรว ฯลฯ ตามที่เราได้เห็นไปแล้วจากตัวอย่าง
คำถามคือ แล้วเบบี้มายด์ สาวน้อยมาดทอมนิดๆ ที่หลายคนคอยเชียร์อยู่ หายไปไหน ?
ซึ่งปิงก็เผยเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลังจากการสัมภาษณ์และแคสน้องเบบี้มายด์ เรากลับเห็นคาแรคเตอร์ไม่ชัด [ถาม: ทั้งที่เรามองข้างนอกเหมือนน้องจะชัดเจนมาก] ใช่ครับ แต่เราคงหาประเด็นที่เหมาะกับน้องยังไม่ได้ เราเลยให้น้องไปรับบทสมทบอื่นๆ แทนครับ เราจะยังเห็นเค้าอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักก็ตาม”
นอกจากนี้ยังเผยว่า แม้บทจะเขียนมาจากตัวนักแสดงเอง แต่ทีมงานกลับจัดให้มีการแคสนักแสดงขึ้นมาด้วย หมายความว่าน้องๆ ต้องมาแคสบทที่เขียนมาจากตัวเขาเอง แข่งกับคนอื่นๆ ที่สมัครเข้ามา ซึ่งถือว่าโหดมาก โดยเพราะปิงและพี่ย้งไม่อยากให้บทของน้องๆ เป็นของตาย ให้น้องๆ ต้องถีบตัวเองเรื่องการแสดงให้มากขึ้น
5. บทซีซั่น 3 หนากว่าฮอร์โมนทุกภาค ทีมเขียนบทยังโรคจิตเหมือนเดิม
เราเคยเห็นว่าบทของฮอร์โมนแต่ละตอนนั้น จะมีความลึกและมีการปูเรื่องในระดับที่เฉลี่ยทุกตัวละครพอดีๆ ซึ่งปิงเองก็เป็นหัวหน้าทีมเขียนบทมาตั้งแต่ฮอร์โมนซีซั่นแรกแล้ว
“ตอนที่ทำซีซั่น 1 เราก็พบว่ายังมีจุดอ่อนหรือจุดบกพร่องหลายอย่าง ทำให้ในการเขียนบทของซีซั่น 2 เราก็จะลง Detail กันมากขึ้น ทำให้บทซีซั่น 2 มันยาวกว่าซีซั่น 1 เกือบ 3 เท่า !! แต่ปัญหาก็คือมันลง Detail เยอะเกินไป จนดูแล้วเสียอารมณ์บางอย่าง
พอมาในซีซั่น 3 ทุกคนพยายามอุดรอยรั่วที่เกิดขึ้นในสองซีซั่นที่ผ่านมา ซึ่งยิ่งมีความละเอียด ทั้งบทแต่ละตอน มุมกล้องทุกมุมมีความหมาย ในแต่ละฉากจะแทบไม่มีบทที่สูญเปล่าเลย ทุกฉาก ทุกคำพูดจะมีความหมายต่อเรื่องราวในอนาคตอีกด้วย”
ถ้าอยากรู้ว่าทีมเขียนบททำงานกันหนักแค่ไหน ปิงบอกว่าใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 7 เดือน เพื่อเขียนบทละคร 13 ตอนเท่านั้น
เมื่อแอบถามว่า ทีมเขียนบทยังโรคจิตเหมือนเดิมรึเปล่า ? มีบทโหดๆ ทำร้ายจิตใจแฟนๆ เช่นทุกภาคไหม ปิงยิ้มมุมปาก แล้วบอกเบาๆ ว่า “โรคจิตกว่าเดิมอีกครับ หึๆๆๆๆๆ”
6. ธีมหลักของฮอร์โมน 3 คือ “บาดแผล และความเจ็บปวด”
มันยังแรงเหมือนเดิมไหม ? ปิงเลี่ยงตอบโดยบอกว่า ทีมงานเองไม่ค่อยได้ใช้คำว่า “แรง” ในการทำงาน เพราะจริงๆ แล้วฮอร์โมนคือการนำเสนอเรื่องจริงของวัยรุ่นอย่างตรงไปตรงมา และจะเห็นว่าทุกซีซั่นก็คือปัญหาจริงๆ ที่เกิดในสังคมไทย
แต่เมื่อถามถึงระดับความแรง ก็ได้รับคำตอบว่ามีความเข้มข้นอยู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เรท 18+ จนต้องมาฉายสี่ทุ่ม เช่นเดียวกับซีซั่นที่ผ่านมา เพียงแต่ความแรงอาจจะไม่ได้อยู่ที่ “ภาพ” แต่จะอยู่ที่ “ความคิด” บางอย่าง
โดยปัญหาของวัยรุ่นที่เคยพูดถึงในซีซั่น 1 อย่างเรื่อง Sex, เด็กตีกัน มาถึงซีซั่น 2 ที่มีเรื่องของยาเสพติด, การทำแท้ง มาในซีซั่น 3 ก็จะยังคงมีปัญหาอื่นๆ ของวัยรุ่นที่จะมาเล่าให้ฟังเช่นเคย แต่ธีมของเรื่องราวทั้งหมด จะมาจาก “บาดแผล และความเจ็บปวด”
เหมือนที่เราได้เห็นจากรูปโปรโมท และเพลงประกอบละครนั่นเอง
7. ยังมีเรื่องของความรักระหว่าง “ช-ช”, “ญ-ญ”
เมื่อถามถึงเรื่องเหตุผลการนำเสนอความรักในเพศเดียวกัน ปิงก็เผยว่า เมื่อเราทำละครวัยรุ่น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องของการค้นหาตัวตนด้านเพศไปได้เลย รวมถึงเรื่อง Sex, ดนตรี, ความรุนแรง เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัยรุ่นทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าพื้นฐานของฮอร์โมน 3 จะได้เห็นเรื่องราวที่ภาพไม่แรงแบบซีซั่นก่อน เราอาจจะไม่ได้เห็นภาพในแบบที่สไปรท์จูบหรือมีอะไรกับผู้ชาย ในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นความคิดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน
โดยสรุปแล้วเรื่องราวความรักในเพศเดียวกันก็ยังคงมีให้เห็น เพียงแต่จะเป็นรูปแบบใหม่ๆ ที่เราจะได้มุมมองเพิ่มเติม กับการค้นหาตัวตนด้านเพศของวัยรุ่นในซีซั่นนี้
8. ยังคงมี Tie-in สินค้าเช่นเคย
ฉาก “Pepsi เขย่าได้” อันลืนลั่นในฮอร์โมน 2 ก็ทำให้หลายคนเริ่มชินกับการ Tie-in สินค้าเข้าไปในละคร ซึ่งในซีซั่น 3 ก็จะยังคงมีเช่นเดิม เนื่องจากรายได้หลักของการทำละคร ก็มาจากโฆษณาสินค้า ทำให้ยังสามารถทำละครใน Scale ใหญ่แบบนี้ได้อยู่ต่อไป
แต่ปิงเองก็ยอมรับว่า ทีมงานก็มีบทเรียนจากซีซั่นที่แล้วเหมือนกัน ว่าอะไรที่มากไป น้อยไปเป็นยังไง ปีนี้ก็จะพยายาม Balance ให้ดีขึ้น [หมายถึงเนียนกว่าเดิม ?] ก็ 5555 (หัวเราะ)
9. ความเป็นไปของ “ขนมปัง-ออย”, “ดาว-ก้อย”, “นน”
“ขนมปัง” เป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักในซีซั่นที่แล้ว แต่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคน Dark ขึ้นมาจากความผิดหวังที่เกิด มาในซีซั่นนี้ เราจะได้เห็นขนมปังพยายามก้าวผ่านบาดแผลในอดีต ไปสู่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ รวมถึงเมื่อความสัมพันธ์กับเพื่อนรักอย่าง “ออย” เปลี่ยนไป
“ผมว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนุกดีนะ เหมือนเราเคยเห็นเพื่อนผู้หญิงคู่นึง ที่เหมือนเค้าจะรักกันนะ .. แต่จริงๆ เค้าก็ไม่ได้รักทุกเรื่องหรอก มันมีความเทาๆ อยู่”
ในส่วนของ “ดาว-ก้อย” ที่หลายคนรอคอย ปีที่แล้วจบแบบค้างเติ่ง ไม่ชัดเจน ซึ่งปีนี้ก็จะมาต่อยอดเมื่อดาวอยากได้ก้อยกลับมา แต่ก้อยก็รู้สึกว่าเขาผิดหวังกับดาวมามาก มันถึงเวลาที่เค้าต้องไปหาความสัมพันธ์ใหม่ๆ หรือยัง
ปีที่แล้วเราจะได้เห็นบทของดาวเยอะ แต่ปีนี้เราจะได้เห็นมุมของก้อยมากขึ้น ได้เห็นว่าพื้นเพเขาเป็นยังไง อะไรทำให้เขาคิดแบบนี้
สุดท้ายคือ “นน” ปีก่อนพยายามจะให้ชัดเจนว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย (แต่ก็ไม่เห็นมีใครเชื่อ) ซึ่งในปีนี้ เราจะได้เห็นนนไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นเยอะมาก ซึ่งปีนี้จะมีคำตอบที่ชัดเจนให้ ว่าตกลงแล้ว นนชอบผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่
10. มีบทบาทตัวละครไหน ที่น่าจับตาเป็นพิเศษ
สำหรับนักแสดง Next Gen ที่เราเคยเห็นในซีซั่น 2 ทั้ง 5 คน ปีนี้จะได้เจอบทที่ยากและโหดกว่าเดิมมาก ซึ่งปิงได้เผยว่า บทที่ยากและซับซ้อนที่สุดบทหนึ่งคือตัวละคร “ออย” ที่น้องฟรังแสดง ตอนเขียนบทถึงกับยังไม่แน่ใจว่านักแสดงมืออาชีพจริงๆ จะแสดงได้หรือเปล่า
แต่พอได้กำกับจริง ก็พบว่าฟรังสามารถทำหน้าที่ได้ดีมาก ถึงกับบอกว่าถ้าจะมีนักแสดงซักคนที่ได้รางวัลการแสดง น่าจะมาจากฟรัง ในบทออยนี่แหล่ะ
นอกจากนี้บทที่ยากมากอีกคนหนึ่งคือ “เจน” ที่นำแสดงโดยน้องต้าเหนิง ที่ถือเป็นบทที่ท้าทายและน่าจับตาดูมากในซีซั่นนี้
10.1 สิ่งที่อยากฝากถึงคนดู
“ฮอร์โมนเป็นซีรีย์ที่คนทำคิดเยอะมากครับ ตั้งใจทำเพื่อให้ดูสนุก แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้น คืออยากให้ดูสนุกแล้วสามารถปรับอะไรกับชีวิตของตัวเองได้ด้วย
อยากให้ดูแล้วลองเปิดใจกว้างๆ ลองมองคนที่คิดต่างกับเรา คิดไม่เหมือนเรา ลองให้โอกาสคนอื่น เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ทำให้สังคมมันดีขึ้นครับ”
ช่องทางการรับชมฮอร์โมน 3
- ชมสดผ่านช่อง One ทางดิจิทัลทีวี ช่อง 31, กล่องดาวเทียม ช่อง 41
- ชมย้อนหลังผ่าน LINE TV
– ภาพจาก Hormones The Series 3
– ขอบคุณ GTH และ นาดาวบางกอก สำหรับสถานที่สัมภาษณ์