“อยากมีลูกไหม ?” เป็นคำถามที่ผมถามกับเชอรี่ ในระหว่างที่กำลังเตรียมงานแต่งงานกันอยู่
ไม่มีคำตอบกลับมา ทั้งสองคนนั่งทำโน่นทำนี่ไป พร้อมกับคิดในใจไปด้วย ถึงคำถามที่ตอบยากเหมือนกันในเวลาแบบนี้ สุดท้ายเราทั้งสองคนก็คุยกันว่าคงยังไม่ถึงเวลาจะคิดเรื่องนี้ รอให้แต่งกันไปซักพักก่อนละกัน
ถ้าถามคนรอบตัว ไม่ว่าจะพ่อแม่ เพื่อนฝูง ก็ย่อมได้คำตอบกลับมาแบบเดียวกันอยู่แล้ว ประมาณว่า “แต่งงานแล้วรีบมีลูกนะ”, “อยากเห็นหน้าลูกของพวกเธอจังเลย”, “มีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนเลยนะ”
มีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนเลยนะ
ในขณะที่ผมพยายามหาเหตุผลถึงการมีลูกหรือเปล่า มันก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราสองคนได้แต่งงานกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน เราสองคนอยู่ในคอนโดเล็กๆ มีรถ มีงานที่ดี มีคนรักมากมาย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป อายุของทั้งสองคนเริ่มมากขึ้น คำถามที่ว่า “อยากมีลูกไหม ?” ก็กลับมาอีกครั้ง
หลายคนอาจจะสงสัยว่าสองคนนี้แปลกจัง จะมีลูกคิดอะไรให้ยุ่งยาก ใครๆ แต่งงานก็ต้องมีลูกกันทั้งนั้นแหล่ะ
แต่อาจจะเพราะคู่ของผมกับเชอรี่ต่างจากคนอื่นๆ เล็กน้อยตรงที่ เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานานมากๆ คือเราสองคนรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน ม. 2 จนมาถึงตอนนี้ เรารู้จักกันมามากกว่า 20 ปีแล้ว เรียกว่าเกินครึ่งชีวิตก็ว่าได้
พอถึงเวลาที่ชีวิตคู่ที่มีความสุขมากๆ จะเริ่มมาคิดถึงการมีลูก มันก็ทำให้เรากลัวการเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนกัน กลัวหลายอย่างจะเปลี่ยนไป
บางครั้งผมก็คิดว่า เออ มีลูกก็ดีเหมือนกันเน๊อะ
แต่บางครั้งก็คิดว่า เอ ไม่มีลูกก็มีความสุขดีกันอยู่แล้ว มีแค่เราสองคนก็ดีพอ
อีกเหตุผลที่เราควรจะมีลูกด้วยกัน
ในขณะที่เราสองคนใช้ชีวิตคู่รักที่แสนมีความสุขอยู่นั้น วันหนึ่งผมก็ได้ชวนเชอรี่ออกไปทานข้าวข้างนอก ผมจำได้ว่าช่วงนั้นค่อนข้างเครียดเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง เลยอยากหาเวลาอยู่กันเงียบๆ 2 คน
หลังจากที่ทานข้าวกันแล้ว เชอรี่ที่เห็นว่าผมดูเงียบๆ ก็หยิกแก้มผมเบาๆ ยิ้มให้แล้วบอกว่า “ทำหน้าเครียดอีกแล้วววว ยิ้มหน่อยเน๊อะ” ^___^
ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ลืมสิ่งที่คิดโน่นนี่ในใจตลอดทั้งวัน มาเหลือแค่การใช้เวลากับเธอคนนี้แค่นั้น
ผมแอบยิ้ม นิ่งไปพักนึง แล้วค่อยๆ หันไปบอกกับเชอรี่ว่า
“ตอนนี้เอ็มรู้ตัวแล้วว่า … เอ็มอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเชอรี่“
แม้จะดูเป็นคำพูดซึ้งๆ เลี่ยนๆ ของคนสองคน แต่สุดท้ายคำนั้นกลับทำให้กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราสองคนตัดสินใจที่จะมีลูกน้อยด้วยกัน
เวลาผ่านไปไม่นาน เชอรี่ก็ทำให้ผมต้องแปลกใจเมื่อเธอบอกว่า อยากจะมีลูกด้วยกัน ในขณะที่ผมเองก็คิดว่า ก็น่าจะดีไม่น้อยนะ เพราะอะไรๆ ก็พร้อมพอสมควร การมีลูกก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นไปตามธรรมดาของคู่แต่งงาน
เราสองคนไปปรึกษาเรื่องการมีบุตรที่โรงพยาบาลจุฬา (แล้วจะเขียนรีวิวอีกทีนึง) ซึ่งก็ได้ผล เพราะแค่ 1 เดือนหลังจากนั้นก็มีข่าวดีว่าเชอรี่กำลังตั้งครรภ์ เราสองคนตื่นเต้นกันมาก
“ดีใจไหมคะ ?” เชอรี่ถามผม
“ดีใจสิ จะได้มีลูกน้อยด้วยกันแล้วเน๊อะ ต้องหล่อเหมือนพ่อแน่ๆ เลย” ผมหยอกเล่นกลับ
เราสองคนพูดหยอกล้อเล่นกันไปมา จนเชอรี่พูดขึ้นมาว่ารู้ไหมว่าทำไมเขาถึงอยากมีลูก ผมก็ถามว่าทำไมล่ะ
“ที่เค้าอยากมีลูก เพราะเค้ากลัวว่า ถ้าวันนึงที่เค้าไม่อยู่แล้ว เอ็มจะอยู่ได้ยังไง …”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ไม่เอาๆ” ผมรีบพูดคั่น
“จริงๆ นะ … เพราะเค้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ถ้าไม่มีเอ็มเหมือนกัน คือวันนึงเราสองคนก็ต้องแก่เฒ่า ต้องมีคนนึงจากไป … เค้าไม่อยากให้อีกคนนึงต้องอยู่คนเดียว“
โอ้โห เล่นเอาผมน้ำตาซึมเลย
หลังจากได้ฟังแล้วผมก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ภาพของประโยคที่ผมบอกว่าเธอว่า ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเค้า ก็เหมือนตัดภาพกลับไปมากับเวลานี้ คิดดูแล้ว มันก็จริงอย่างที่เชอรี่บอก
เพราะถ้าวันนึงผมไม่อยู่ ผมเองก็ไม่อยากเห็นเค้าต้องอยู่คนเดียวเหมือนกัน
บางทีการมีลูกน้อย ก็เป็นเหมือนตัวแทนของเรา เป็นคนอีกหนึ่งคนที่หน้าตาเหมือนเรา ผมก็ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นยังไง โตขึ้นจะเป็นคนแบบไหน
แต่อย่างน้อยที่สุด … ลูกก็เป็นเหมือนตัวแทน ตัวแทนของคนๆ นึง ที่เรารักมากที่สุดในชีวิตครับ
Related Link