ช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเปิดเทอมของเด็กมหาลัย ผมได้มีโอกาสไปพูดแนะแนวให้กับน้องๆ ในคณะวิศวะ ลาดกระบัง ซึ่งผมเองก็ใช้เวลา 4 ปีที่นี่เช่นเดียวกัน
ในหัวข้อหลากหลายที่พูดคุยในวันนี้ ปรากฏว่ามีเรื่องหนึ่งที่เด็กๆ ดูจะสนใจเป็นพิเศษ และหลังจากที่เล่าจบ มีน้องๆ หลายคนบอกว่าได้อะไรพอสมควรกับเรื่องราวนี้ เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์เลยมาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ
ประสบการณ์ ไม่เข้าเรียนซักคาบแต่ได้ A
สมัยเรียนมหาลัยผมเป็นเด็กกิจกรรมครับ ในความหมายคือ วันๆ ทำกิจกรรมเป็นงานหลัก เรียนเป็นงานอดิเรก ว่างๆ ก็ค่อยไปเรียนบ้าง (ฮา)
ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ก็ค่อนข้างไกลตาผู้ปกครอง ทำให้ผมมีอิสระค่อนข้างมาก จนมีอยู่เทอมหนึ่ง ที่มหาลัยมีกิจกรรมค่อนข้างเยอะ แล้วก็เรียนหนักพอสมควรตามประสาคณะวิศวะ จนผมเริ่มเหนื่อยและต้องเลือกว่าจะทำอะไรก่อนหลัง
ผมเลือกทำกิจกรรมก่อน
เรียนมาทีหลัง
นั่นทำให้มีอยู่วิชาหนึ่ง ขอใช้ชื่อว่าวิชา L แล้วกันนะครับ ผมรู้สึกชอบวิชานี้มาก เพราะส่วนตัวก็มีพื้นฐานด้านนี้มาก่อน อ่านหนังสือก็เข้าใจ เลยรู้สึกว่าไม่เห็นจะต้องเข้าเรียนให้เสียเวลา
ผมเลือกไม่เข้าเรียนวิชา L เลยซักคาบ ซึ่งอาจารย์เองก็ไม่มีเช็คชื่อด้วย จะมีก็แต่วันที่สอบเท่านั้นที่จะเข้าไปในห้อง
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก จนถึง 3 วันสุดท้ายก่อนจะสอบ ผมก็เพิ่งมารู้ตัวอีกทีว่า ชิบหายแล้ว …
ผมเร่งอ่านหนังสืออย่างหนัก ตามไปติวกับเพื่อนๆ ทุกที่ สองวันสุดท้ายไม่ได้นอนเลย
สุดท้าย ผลสอบวิชานั้นออกมา … ผมได้ A
ไม่ใช่ A ธรรมดาด้วย เพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ได้ A และทั้งห้องมีไม่กี่คนที่ได้
ผมดีใจมาก รู้สึกภูมิใจสุดๆ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่เคยเข้าเรียนเลย แต่กลับสอบได้เกรดสูงสุด เที่ยวโม้ให้คนโน้นคนนี้ฟัง รู้สึกว่าตัวเองเก่งจังเลย ไม่ต้องเรียนก็ได้เกรดดีๆ กลับไปฝากที่บ้านแล้ว
และในเทอมต่อมา ….
บทเรียนครั้งสำคัญในชีวิต
เทอมต่อมา ผมก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมในคณะ แถมตัวเองยังได้เป็นรองประธานเชียร์อีกด้วย มีเรื่องมากมายต้องทำ ซึ่งก็เช่นเคย การเรียนหนักไม่แพ้เทอมที่ผ่านมา
ผมเอาตารางเรียนมากางดู แล้วอยู่ดีๆ ก็มีความคิดนึงเข้ามาในหัวว่า
“รึเราจะลองไม่เข้าเรียนวิชานี้ดู อ่านไม่กี่วันก่อนสอบเดี๋ยวก็ได้เองแหล่ะ”
คงไม่ต้องบอกว่าผมตัดสินใจว่าอะไร … ใช่ครับ ผมเลือกทำกิจกรรม และไม่เข้าเรียนเลยซักคาบ ในวิชา K (ชื่อสมมุติ)
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก จนถึง 3 วันสุดท้ายก่อนจะสอบ ผมก็เพิ่งมารู้ตัวอีกทีว่า ชิบหายแล้ว …
ผมเร่งอ่านหนังสืออย่างหนัก ตามไปติวกับเพื่อนๆ ทุกที่ สองวันสุดท้ายไม่ได้นอนเลย
สุดท้าย ผลสอบวิชานั้นออกมา … ผมได้ D
ไม่ใช่ D ธรรมดาด้วย เพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ได้ D และทั้งห้องมีไม่กี่คนที่ได้
….
..
ผมนั่งช็อคอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่แสดงผลของเกรดวิชานั้นออกมา ลองกด Refresh กี่รอบ เกรด D Dog ก็ยังคงโชว์หลาใน Transcript การเรียนของผม ซึ่งตั้งแต่เรียนมาไม่เคยได้คะแนนต่ำขนาดนี้มาก่อนเลย
ในขณะที่เพื่อนๆ ยิ้มแย้ม และบอกกันสนุกสนานว่าวิชานี้ได้เกรดง่ายมาก แต่ผมที่ภูมิใจในตัวเองมาตลอดว่าไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ A … กลับได้คะแนนต่ำที่สุดในห้อง (ไม่มีใครได้ F)
ผมมองย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความทรงจำมีเพียงแค่ ผมไม่เข้าเรียน แต่ไปทำอย่างอื่น บางวันก็นอนเล่นอยู่หอเฉยๆ คิดแต่ว่า
“วิชานี้รออ่าน 3 วันก่อนสอบละกันนะ”
สายตาผมไล่เกรดที่ดีมาตลอดตั้งแต่เรียนปี 1 จนมาถึงวิชานี้ที่ได้ D พอนึกถึงว่าเดี๋ยวผมจะต้องกลับบ้านที่ขอนแก่น ที่บ้านมีคุณพ่อกับคุณแม่ที่เคยดีใจสุดชีวิตหลังรู้ว่าผมเอ็นติดลาดกระบัง
แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา …
ทุกวันนี้เราทำอะไรอยู่
ผมคิดในใจว่า ถ้าพ่อแม่เรารู้ว่า ลูกของเค้ามัวแต่นอนเล่น ไปทำโน่นทำนี่สนุกสนาน ไม่ยอมเข้าไปเรียนเลยแม้แต่คาบเดียว เค้าจะรู้สึกยังไงนะ … เค้าต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย
แน่นอนครับ ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็ตั้งใจเรียนมากกว่าเดิม พยายามทำคะแนนให้ดีที่สุด เพื่อที่เรียนจบมาจะได้มีเกรดดีๆ เช่นเดียวกับนักศึกษาคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
แต่ตัวอักษร D ที่เด่นหลาอยู่ใน Transcript
มันเป็นเหมือนแผลในใจ ที่คอยย้ำเตือนตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะมันไม่ใช่แค่ D Dog ธรรมดา แต่มันเป็นบทเรียนครั้งนึง ที่เราทำตัวเราเอง คิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าที่ผ่านมาทำได้ ทำไมวันนี้จะทำไม่ได้ ทั้งการไม่รู้จักแบ่งลำดับความสำคัญ รวมถึงการให้อิสระมาทำร้ายตัวของตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าน้องๆ ที่เรียนในตอนนี้ กำลังเรียนไปเพื่ออะไร
แต่อย่างน้อย ก็มีคนที่เค้าลุ้นเสียยิ่งกว่าเรา ในตอนประกาศผลสอบเข้ามหาลัย
คนที่ฝันไปถึงวันที่จะได้ถ่ายรูปกับเรา ในชุดรับปริญญา ยิ้มกว้างและดีใจเสียยิ่งกว่าคนเรียนจบ
ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็ได้แผลในใจที่มีค่าเหลือเกิน ว่าอย่างน้อยเราจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก ทุกบทเรียนมีคุณค่าในตัวของมันเอง อย่างน้อยที่สุด ก็คิดเสียว่าทำเพื่อคนที่เรารัก
เป็นกำลังใจให้น้องๆ นักเรียนนักศึกษาทุกคนนะครับ 🙂