ช่วงนี้กำลังอินกับเพลงนึงจากหนังเพลงเรื่อง Les Misérables เป็นเพลงอมตะที่ดังที่สุดเพลงหนึ่ง “I Dreamed A Dream“
I dreamed that love would never die … เนื้อเพลงเกิดจากการที่ “ฟอนทีน” ผู้หญิงคนนึงที่เคยพบความรักที่แสนอบอุ่น มีลูกกับผู้ชายที่แสนดี เขาสร้างความฝันที่แสนหวานให้กับเธอ สร้างฝันที่ว่าความรักนั้นไม่มีวันตาย สร้างฝันถึงอนาคตอันงดงาม …
I had a dream my life would be, So different from this hell I’m living … แต่แล้วโลกแห่งความเป็นจริงก็มาทำลายความฝันนั้นไปหมดสิ้น ความเป็นจริงที่เขาทิ้งเธอไป ทิ้งเธอกับลูกให้ลำบาก เธอต้องยอมขายตัวเพื่อแลกเงินเพียงเล็กน้อยให้ลูกได้มีอะไรกิน
ตามในหนังหลังจากที่เธอร้องเพลงนี้จบไม่นาน ฟอนทีนก็ได้ป่วยและจากโลกนี้ไป โดยก่อนตายได้มีคนใจบุญมาดูแลลูกของเธอต่อไป
ฉันเคยใฝ่ฝันไว้เมื่อเวลานานมาแล้ว (I Dreamed A Dream)
ย้อนกลับมาดูตัวเอง ผมเป็นคนช่างฝัน (มาก) และชอบทำตามความฝันของตัวเองไปทีละข้อสองข้อ แม้ว่าจะทำได้ไม่หมด ไม่ครบ คือบางทีเราก็คิดอะไรไกลตัวเกินไปและไม่มีวันจะทำได้ เช่นเคยฝันว่าอยากเป็นนักบิน ซึ่งสุดท้ายส่วนสูงไม่ถึงและสายตาสั้น, เคยฝันว่าอยากเป็นนักวาดการ์ตูน แต่ดันเรียนมาทางวิศวะ
โชคดีเหลือเกินที่เราไม่เคยทิ้งความฝัน แม้งานที่ทำประจำจะไม่ใช่สิ่งที่เราฝันถึงในสมัยก่อน แต่มันก็เป็นงานที่เราชอบ และก็ยังช่วยให้มีเงินเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูพ่อแม่และครอบครัวได้
ผมเคยฝันว่าอยากเป็นนักเขียน โชคดีที่โลกนี้มีบล็อก มีอินเทอร์เน็ต ทำให้ยังได้เขียนโน่นนี่จนพอมีพื้นที่ของตัวเองได้บ้าง ได้เขียนบทความ ได้ทำเว็บ ได้ออกหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก แม้จะไม่ใช่อาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้แต่ก็ดีกว่าเลิกที่จะฝัน
ผมเคยฝันว่าอยากมีเงินเก็บครบ 1 ล้านบาทก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งทำไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ยกเลิกความฝันและจะทำให้ได้ภายในไม่กี่ปีนี้
ผมเคยฝันว่าอยากมีความรัก และครอบครัวที่มีความสุข น่าดีใจเหลือเกินที่ความฝันนี้ทำได้เกินที่ตัวเองใฝ่ฝันไว้ ผมได้พบผู้หญิงที่น่ารักที่สุดในโลก และเธอก็รักผมยิ่งกว่าที่ผมรักตัวเองซะอีก
ผมเคยฝันว่าถ้าวันนึงเราตายไป จะมีคนจำเราได้บ้างในอีกหลายปีต่อมา อันนี้ยังไม่ถึงเวลาพิสูจน์เลยไม่รู้ว่าเป็นไปอย่างนั้นรึเปล่า
ผมเคยฝันว่าอยากทำหนังสักเรื่องหนึ่ง เป็นความฝันที่ไกลตัวที่สุดในตอนนี้ แม้จะได้ใช้เวลาว่างตัดต่อวิดีโอทำโน่นทำนี่บ้าง อย่างน้อยก็ได้สูดอากาศของการทำหนังบ้างนิดนึงก็ยังดี
ผมเคยฝันว่าอยากเล่นเปียโนในงานแต่งงานของตัวเอง อันนี้ทำได้ตามฝัน ไชโย
ผมเคยฝันว่าอยากทำงานในบริษัทระดับโลกสักแห่ง อันนี้มาได้ครึ่งทาง จะว่าไปที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว แต่ก็หวังไว้ว่าซักวันจะมีโอกาสไปได้ไกลกว่านี้
ผมเคยฝันว่าตัวเองจะแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย อายุยืน เป็นคนแก่ที่มีความสุข ซึ่งยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าพูดถึงความแข็งแรงนี่ก็ถือว่ายังไม่ผ่าน หลายปีมานี้ร่างกายอ่อนแอเลยทีเดียว
ชีวิตของฉันมันพรากความฝันของฉันไป (Now life has killed the dream I dreamed)
ผมชอบท่อนจบของเพลงนี้ ที่บอกว่าโลกแห่งความเป็นจริงมันได้พรากความฝันของฉันไป ขโมยสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นของเราไปหน้าตาเฉย
สำหรับหลายคนแล้ว การที่โลกแห่งความเป็นจริงขโมยความฝันของเราไปอาจจะดูเป็นเรื่องปกติพบได้ทั่วไป
แต่สำหรับคนช่างฝัน คนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มองเห็นจุดหมายปลายทาง การที่ความฝันมันลอยห่างออกไป ทุกที ทุกที ทุกที … สิ่งที่เคยคิดว่าอยู่ตรงหน้า วันนี้มันหายไปไหนหมดแล้ว
ความรัก, การงาน, การเงิน, ครอบครัว, สุขภาพ, สิ่งของ, อาชีพ ฯลฯ
ช่วงนี้ผมอยู่ในช่วงเริ่มต้นครึ่งหลังของชีวิต คือตัวเราเข้าสู่อายุ 31 ปีแล้ว ถ้าอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ปี แปลว่าผมมีเวลาอีกแค่ครึ่งเดียวบนโลกใบนี้
ชีวิตมันสั้นจริงๆ ผมรู้สึก
ระหว่างที่กำลังหาข้อสรุปให้กับความฝันของตัวเองในครึ่งหลังของชีวิต ผมก็ได้ฟังเพลง I dreamed a dream เข้าพอดี และก็เปิดฟังเกือบร้อยรอบในวันนี้ แม้ว่าเนื้อเพลงดูเหมือนจะโทษกับโชคชะตาของตัวเอง มีทั้งโกรธและเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่
แต่มีอยู่ท่อนนึงที่ทำให้รู้สึกสะดุดใจ
มันก็คงเป็นเพราะว่าเราเคยฝันเอาไว้เยอะแยะตอนเด็ก ตอนวัยรุ่น ตอนเรียนหนังสือ ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ตอนที่เริ่มมีความรัก … ก็เพราะความฝันไม่ใช่เหรอที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มันคุ้มค่าจังเลยนะที่จะไล่ตามมันต่อไป
แล้วตกลงเราหยุดสร้างความฝันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
หรือคิดว่าตัวเองมีความฝันที่มากพอแล้ว ไม่คิดจะทำอะไรต่อไปแล้ว ?
เมื่อถามเองตอบเองไปได้ซักพัก สำหรับตัวเองในวัยขวบปีแรกของชีวิตครึ่งหลัง ก็ได้ข้อสรุปว่า ..
ฝันต่อไป ไล่ตามมันต่อไป และจงอย่าหยุดที่จะฝัน
🙂