วันนี้มีเรื่องดีๆ เรื่องนึงที่อยากจะบันทึกเก็บเอาไว้ นั่นคือวันนี้ 16 มี.ค. 2555 เมื่อเวลา 8.33 น. บล็อกส่วนตัวเล็กๆ แห่งนี้ได้ผ่าน 1 ล้านเพจวิวแล้ว !!
สำหรับผมแล้ว มันเป็นตัวเลขที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น และก็ดีใจเอามากๆ ที่สามารถผ่าน Milestone เมื่อตอนผมนั่งกด Refresh ช่วงที่เลขวิ่งไปถึง 999,9XX เพจวิว แล้วก็ข้ามมาที่ 1 ล้านในที่สุด
จริงๆ แล้วสำหรับคนทำเว็บตัวเลขนี้ก็อาจจะถือว่าไม่มาก แต่สำหรับผมที่ทำแต่บล็อก แถมยังเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องอะไรก็ไม่รู้มากมาย มันก็เลยทำให้รู้สึกดีใจเป็นพิเศษ ^___^
เพื่อเป็นการฉลองให้กับตัวเอง ผมก็เลยจะขอเขียนบล็อกตอนหนึ่ง เล่าถึงเรื่องราว ที่มาที่ไป เบื้องหลังบล็อกเล็กๆ แห่งนี้ ที่มีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ตั่งแต่เรื่องชีวิต, เรื่องส่วนตัว, บทความ, บ่น, เกรียน, ติสต์แตก มาตลอด 7 ปี ถือว่าเป็นการบันทึกส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน
ล้านแล้วจ้า |
บล็อกที่ MSN Spaces (ปัจจุบันถูกย้ายมา WordPress) |
ที่มาของชื่อ ขโจชิ (Khajochi)
เป็นเรื่องน่าอายอย่างนึง ที่ผมเพิ่งจะนึกออกว่าตลอด 7 ปีมานี้ ผมไม่เคยเขียนบอกเลยว่าชื่อของบล็อกตัวเองมีที่มาจากอะไร >////<
จริงๆ มันก็เดาได้ไม่ยากหรอกครับ แต่ถ้าจะให้เล่าจริงๆ คือเมื่อตอนสมัยผมยังหนุ่มๆ อยู่ ช่วงนั้นเป็นยุคที่ ICQ, Hotmail, MSN เพิ่งจะเกิด ทีนี้ไอ้เราก็ขยันสมัครบริการโน่นนี่บนเน็ต แต่เรื่องที่น่าเบื่อมากคือการหา user id ที่ไม่ซ้ำใคร และเราสามารถใช้ชื่อเดียวกันนี้ได้ในทุกบริการ
พอดีว่าตอนนั้นเพิ่งเรียนจบจากลาดกระบัง ก็ได้งานที่บริษัท Metro System ซึ่งบริษัทมีกฏของการตั้งชื่ออีเมล์ให้พนักงานทุกคน ด้วยการใช้ตัวอักษร 5 ตัวแรกของชื่อ กับ 3 ตัวแรกของนามสกุลมารวมกัน (ระบบอีเมล์สมัยก่อนมีข้อจำกัดเยอะครับ)
เพราะงั้นจากชื่อของผม Khajorn Chiaranaipanich เลยกลายมาเป็น KhajoChi ด้วยประการฉะนี้ ซึ่งชื่อนี้กลายเป็นอีเมล์ บนนามบัตรใบแรกในชีวิตของผมจริงๆ
ผมเองก็รู้สึกว่าชื่อมันก็เก๋ดี ดูเป็นญี่ปุ่นหน่อยๆ (สมัยก่อนบ้าญี่ปุ่นมาก) ก็เลยใช้ชื่อนี้สมัครอีเมล์, บล็อก, Youtube, Facebook, Twitter และก็รวมไปถึงโดเมนเนม Khajochi.com ด้วยนั่นเอง
บล็อกที่ Bloggang |
บล็อกที่ Multiply |
จุดเริ่มของการเขียนบล็อก
ผมเป็นคนชอบขีดๆ เขียนๆ อะไรมาตั้งแต่เด็ก และมีความฝันว่าอยากจะเป็นนักเขียน แต่ด้วยความสนใจด้านไอทีและเรียนจบมาทางวิศวะ คอมพิวเตอร์ ทำให้อาชีพการงานไปตกอยู่สายนักพัฒนาซอฟท์แวร์
แต่ด้วยความเชื่อที่ว่า อาชีพที่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้ กับงานอดิเรกที่ช่วยเติมเต็มความฝันของเรา มันน่าจะทำควบคู่กันไปได้ เลยเป็นที่มาของการเขียนบล็อกแห่งนี้
- บล็อกแห่งแรกที่เริ่มเขียน คือเขียนที่ MSN Spaces และก็ก๊อปเนื้อหาไปวางที่ Blogang ของ Pantip อีกที่หนึ่ง ที่เขียนสองที่เหมือนกันเพราะอยากลองว่าที่ไหนเวิร์คกว่า
- บล็อกตอนแรกชื่อ “ก๋วยเตี๋ยวชามนี้ท่าทางจะเผ็ด” เขียนเมื่อวันที่ 17 กุมพาพันธ์ 2005
- ลองทั้ง 2 ที่ก็รู้ว่ามันไม่เวิร์คทั้งคู่ (ฮา) ก็เลยย้ายมาอยู่ Multiply ช่วงปี 2008 ซึ่งก็ไปได้เพราะระบบมันผูกกับพวกอัลบั้มรูปได้ดีมาก แต่หลังจากใช้ไปปีกว่าก็พบว่ามันทำมาเพื่อโชว์รูป ไม่เหมาะจะเขียนบล็อกซักเท่าไหร่
- ปี 2009 เลยย้ายอีกรอบมาอยู่บน Blogger หรือชื่อ Blogspot ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- จริงๆ โดเมน Khajochi.com จดตั้งแต่ปี 2007 แล้ว แต่จดไว้เฉยๆ ยังไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไร ตอนหลังเลยใช้เป็นโดเมนเนมของบล็อกเมื่อปี 2009 นั่นเอง
จุดเปลี่ยน
จริงๆ สมัยก่อนผมก็เขียนบล็อกแบบบ่นๆ คิดอะไรชอบอะไรก็บ่นในนั้น แต่จุดเปลี่ยนในชีวิตของการเขียนบล็อกมีอยู่ 2 อย่างครับ
1. เขียนข่าวกับ Blognone – ผมอาจจะเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของเว็บข่าวไอทีแห่งนี้ก็ว่าได้ แม้จะเขียนไม่เยอะไม่บ่อย แต่มันทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า เฮ้ย !! ถ้าเราตั้งใจ มันก็มีเวทีหลายแห่งให้เราขีดๆ เขียนๆ อย่างที่เราชอบ (อ่าน: 10 อันดับ ผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการคอมพิวเตอร์, รีวิว iPhoto, Geek อย่างไรให้ไม่โสด, เขียนข่าวกับ Blognone แล้วได้อะไร )
เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกแรกที่งานเขียนของเรามีคนมาคอมเม้นต์ มีคนชม คนด่า คนส่งต่อ นั่นทำให้เราอยากพัฒนาตัวเอง และเรียนรู้อะไรอีกมาก
แม้ช่วงหลัีงผมจะเน้นไปที่บทความขนาดยาวและเขียนข่าวน้อยลง แต่การได้เริ่มเขียนข่าวใน Blognone เป็นจุดเปลี่ยนแรกๆ ของตัวเองจริงๆ (เป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงปฏิเสธคำเชิญจากหลายๆ ท่านที่ให้มาเขียนข่าวในเว็บ และบทความที่เขียนในบล็อกนี้ก็ลงให้ที่ Blognone แบบ Exclusive ที่เดียว)
2. บล็อกตอน “1,000 day“ – เหตุการณ์นี้เกิดในช่วงกลางปี 2009 ครับ วันนั้นผมจำได้ดีว่ากำลังว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเปิดบล็อกของตัวเองอ่าน หลังจากที่อ่านไปซักพักผมก็มาสะดุดกับบล็อกตอนนึงที่ผมเขียนถึงเรื่องการคบกับ @CherryJaja เป็นแฟนมา 1,000 วัน
มันคงจะไม่รู้สึกอะไร ถ้าบล็อกในตอนก่อนหน้านั้น จะเป็นแต่เรื่องของข่าวไอที เรื่องแอปเปิล เรื่องรอบตัวอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ซึ่งผมก็ตั้งใจเขียนมาก ลงรูป ลงเนื้อหาเพียบ … แต่พอเป็นเรื่องของคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิตคนนึง ผมกลับเขียนมันลงไปแค่ไม่กี่บรรทัด …..
วันนั้นผมรู้สึกแย่กับตัวเองว่า “เฮ้ย !! นี่เราให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนั้น มากกว่าเรื่องคนใกล้ตัวเราเองอีกเหรอวะ นี่มันชีวิตของเรานะเว้ย !! ชีวิตของเอ็ง ถ้าเอ็งไม่เขียน แล้วใครจะเขียนให้วะ”
ผมรู้สึกว่า เราจะมัวมานั่งบันทึกไปทำไมว่าไอโฟนขายวันไหน ทั้งที่ไม่กี่วันหลังจากนั้นมันยังมีวันที่สำคัญกับชีวิตของเรามากกว่า
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็เลยตัดสินใจ ให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเองมากเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่เขียน แต่ต้องเขียนให้ดี ต้องมีคุณภาพ อ่านแล้วได้ความรู้สึกออกมาจริงๆ ว่าดีใจ เสียใจ ผมตั้งจุดมุ่งหมายของบล็อกตัวเองไว้ว่า
“บล็อกทุกตอน จะต้องมีคุณภาพเทียบเท่ากับบทความในนิตยสาร”
บล็อกาซีน (Blogazine)
เป็นศัพท์มั่วๆ ที่ผมตั้งขึ้นมาเตือนใจตัวเอง ผมเชื่อว่าถ้าผมเขียนทุกอย่างในคุณภาพที่ดีพอกับที่เราเขียนส่งนิตยสาร เราจะอยากกลับมาอ่านมันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็เลยสนุกมากกับการมองบล็อกของตัวเองเป็นนิตยสารชีวิตเล่มยาว
- วันนึงนึกอยากจะอธิบายชีวิตเป็นการ์ตูนก็วาดรูปลงไป วันไหนอยากกวนตีนก็จัดให้หนัก วันไหนเศร้าจัดก็ใส่ลงไปเต็มที่
- เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเราได้กลับมาอ่านชีวิตตัวเอง ในรูปแบบต่างๆ และในคุณภาพที่ดี มันจะเป็นความทรงจำที่ดีเอามากๆ
- ผมดีใจที่เขียนประสบการณ์ไปดูแมนยูแข่งที่อังกฤษอย่างละเอียดมาก ผมดีใจที่ผมเขียนความรู้สึกของตัวเองในคืนที่ตัดสินใจจะขอเชอรี่แต่งงาน
- ทุกตอนจะต้องมีรูปอย่างน้อย 1 รูป ถ้าคิดไม่ออกจะเอารูปไหน ก็วาดเองเลย
- ผมเชื่อว่าในอนาคต จะต้องมีวิธีแปลงเนื้อหาเหล่านี้ ไปอยู่ในรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่นพิมพ์เป็นหนังสือ ทำเป็นวิดีโอ ฯลฯ เพราะงั้นถ้าเราเริ่มให้มันดีตอนนี้ เมื่อเวลามาถึง เราจะได้ดึงความทรงจำเหล่านี้ออกมาได้อย่างมีคุณภาพ และอยากกลับไปอ่านมันอยู่เสมอ
5 สิ่งดีดีที่ได้จากการเขียนบล็อก
- ได้แชร์สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก ยิ่งเรารักอะไรมากเท่าไหร่ เวลาที่เราเล่ามันออกไปมันยิ่งมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
- แชร์แล้วมีคนอ่าน มีคนเห็นด้วย มีคนไม่เห็นด้วย มีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มันทำให้เราได้รู้ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ๋และเราไม่ได้อยู่แค่คนเดียว
- ได้รู้จักกับคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บางคนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แต่พอบอกว่าอ่านบล็อกเราอยู่ ก็เหมือนได้รู้จักกันมานาน
- สร้างโอกาสทำตามสิ่งที่ตัวเองฝัน ผมฝันอยากเป็นนักเขียน ตอนนี้ก็ได้มีงานเขียนลงบนนิตยสารบ้าง eBook บ้าง เว็บต่างๆ บ้าง ถ้าไม่เคยเขียนบล็อกคงไม่มีโอกาสนี้แน่นอน
- สุดท้ายคือได้เก็บเรื่องราวดีๆ ความคิดความอ่าน ความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เป็นเพียงของเราคนเดียว เป็นไดอารีชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีวันสูญสลาย
สรุปวิธีการเขียนบล็อกแบบขโจชิ
ถึงจะเคยมีคนถามถึงเคล็ดลับในการเขียนบล็อก แต่เพราะผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเขียนอะไรได้ดีนัก (ถ้าดีจริงป่านนี้เป็นนักเขียนไปแล้ว) แต่ตัวเลข 1 ล้านเพจวิวที่ได้มา ก็น่าจะพอถือโอกาสแนะนำคนที่สนใจจะเริ่มก้าวแรก หรือก้าวที่สอง ในการเขียนบล็อกไว้ดังนี้
- อย่าเลิกเขียน – ผมเห็นเด็กรุ่นใหม่หลายคนไฟแรงมาก เขียนเยอะ เขียนดี แต่พอซักพักก็เบื่อ เลิกลาไปด้วยสาเหตุต่างๆ กันไป ชีวิตเรามันสั้นครับ ถ้ามีอะไรที่มันน่าจำ มันก็น่าที่จะจดเอาไว้ อย่างที่เค้าเรียกกันว่า “จดจำ“
- ตั้งใจเขียน – ผมใช้เวลาโคตรนานเลยครับ ก่อนจะเขียนแต่ละตอนจบ แต่ผมเชื่อว่าคุณภาพต้องมาก่อน ทุกตอนต้องดีอย่างที่ตั้งใจ เชื่อเถอะครับ แล้วสิ่งดีๆ หลังจากนั้นจะตามมาเอง
- อย่าดอง – อย่าบ่น อย่าบอกว่าไม่มีเวลาช่วงนี้ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาเขียนทีหลัง จากประสบการณ์ 88% ของเรื่องพวกนี้จะไม่ได้ถูกเขียนลงไปในที่สุึด
- อย่าคาดหวัง – ไม่มีใครมาอ่าน ไม่มีใครเม้น ไม่มีคนไลค์ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร บล็อกของผมปีแรกมีคนเข้ามาอ่านเฉลี่ย 8 คนต่อวัน (ซึ่งเป็นของตัวเองไปแล้วกว่าครึ่ง 55)
- เป็นตัวของตัวเอง – แต่ละคนมีรูปแบบ ความคิด วิธีการเป็นของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นหรอกนะครับ
สุดท้ายแล้ว ผมก็ขอถือโอกาส ขอบคุณทุกท่านที่อาจจะหลงเข้ามาอ่านบล็อกเล็กๆ แห่งนี้ ด้วยว่าท่านจะตั้งใจเข้ามาหรือบังเอิญกดผิด แต่เราก็นับท่านลงไปใน Counter แล้วหนึ่งวิว (ฮา)
ขอบคุณจริงๆ ครับ 🙂
บล็อกตอนที่มีคนอ่านมากที่สุด |
:: Khajochi Blog’s Fact ::
- เริ่มเขียน : 17 กุมพาพันธ์ 2005 – ปัจจุบัน
- ย้ายมาแล้ว 4 รอบ : MSN Spaces, Blogang, Multiply, Blogger
- ตอนที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุด (5 วัน) : แพ็คเกจและราคาสำหรับจัดงานแต่งงานในกทม.
- ตอนที่มีคนอ่านมากที่สุด : รูปถ่าย Pre Wedding ในชุดนักเรียน
- ตอนที่ชอบที่สุด : สตีฟ จ็อบส์กับผม, Geek อย่างไรให้ไม่โสด
- ตอนที่เขียนไปร้องไห้ไป : ป่าป๊าผมเก่งที่สุดในโลกเล๊ย
- เวลาที่โพสต์ : 16.00 – 17.00 น.
- ซึ่งไม่ได้เขียนที่ออฟฟิศแต่อย่างใด แต่เกิดจากการเขียนช่วงก่อนนอนของวันก่อนหน้า แล้วตั้งเวลาโพสต์
- ที่เลือกเวลานี้ ไม่ใช่เพราะเป็น Prime Time (ช่วงพี๊คจริงๆ ต้องโพสต์ซักทุ่มนึง) แต่เป็นช่วงที่กำลังจะเลิกงาน และมีเวลามาปรับแก้คำผิด
- สโลแกน “It’s not a bug, It’s a features” : เป็นการย้ำเตือนตัวเองให้คิดบวก อย่ามองอะไรแค่ด้านเดียว เรื่องไม่ดีบางทีมันอาจจะมีด้านดีๆ อยู่ก็ได้