ฮันนีมูนมัลดีฟส์ ตอนที่ 1 : เยือนมาเล เมืองหลวงที่เล็กที่สุดในโลก

“เมืองหลวงอะไร เล็กกว่าเกาะสเม็ดอีก”

เป็นความคิดห้วงหนึ่ง ระหว่างที่กำลังขึ้นเครื่องบิน Bangkok Airways เหินฟ้าจากกรุงเทพ ไปสู่สนามบินนานาชาติอิบราฮิม ประเทศมัลดีฟส์

ทริปฮันนีมูนในฝันของผมกับเชอรี่ (@CherryJaja) เริ่มขึ้นเมื่อผมตั้งใจซื้อทริปนี้เป็นของขวัญแต่งงานให้เราสองคน และเชอรี่ก็ได้วางแผนเลือกแพ็คเกจที่ดีที่สุดสำหรับทริปนี้แล้ว (อ่าน: ค่าใช้จ่ายทริปฮันนีมูนมัลดีฟส์)

ในที่สุดทริป 5 วัน 4 คืนที่มัลดีฟส์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยในคืนแรกเราจะไปนอนพักที่มาเล เมืองหลวงของมัลดีฟส์ก่อน 1 คืน หลังจากนั้นจะไปที่ Centara Maldives อีก 4 วัน 3 คืน

ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปมัลดีฟส์

มัลดีฟส์เป็นประเทศที่มีอะไรแปลกๆ หลายอย่าง ด้วยความที่เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ทำให้มีกฏหลายอย่างและข้อควรรู้ก่อนเดินทางไปพอสมควร

  • มัลดีฟส์ตั้งอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรแบบเป๊ะเว่อร์ ทำให้มี 3 ฤดูเหมือนไทย คือร้อน ร้อนมาก และร้อนมากมาก
  • คนไทยไปมัลดีฟส์ ไม่ต้องขอ Visa นะจ๊ะ
  • คนพื้นเมืองเลยเป็นชาวอินเดีย ตัวดำ หน้าบึ้ง ฟันขาวจั๊ว แต่ก็ใจดีพูดคุยได้นะ
  • เป็นประเทศอิสลาม 100% แน่นอนว่าไม่มีหมูหยองให้ทาน และการใส่บิกินีเดินไปมา อาจโดนรุมกระทืบได้
  • คนที่นี่พูดภาษาท้องถิ่นคือดิเวฮิ แต่โชคดีที่คนส่วนใหญ่ในประเทศพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ก็ฟังยากเหมือนเวลาฟังคนอินเดียพูดนั่นแหล่ะ
ด่านตรวจคนเข้าเมืองเล็กมากๆ ไม่ต้องขอวีซ่าด้วย
  • ด้วยความที่ตั้งอยู่ใต้อินเดียและปากีสถาน แรงงานในประเทศเลยมาจาก 2 ประเทศนี้เยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่พนักงานในโรงแรม
  • เงินที่นี่ใช้สกุล Maldivian Rufiyaa (MVR) แต่ก็รับเงินดอลล่าห์สหรัฐด้วย โดย 1 MVR มีค่าประมาณ 2 – 2.5 บาท
  • สิ่งของที่ห้ามเอาเข้าประเทศเด็ดขาด คืออาหารที่ทำจากหมู, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, หนังโป๊, หนังสือโป๊, เสื้อหรือสิ่งของที่มีรูปดูหมิ่นอิสลาม
  • มาเล (Male อ่านว่า มา-เล่) คือเมืองหลวง แต่ขนาดเล็กแค่ 2 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าเสม็ดหลายเท่า เดินแป๊บเดียวก็รอบเกาะ
  • แต่เดี๋ยวก่อน มีคนอยู่เกาะนี้ 100,000 กว่าคนเชียวนะ แน่นอนว่าโคตรจะแออัดเลย
  • เครื่องบินทุกลำจะมาลงที่มาเล ซึ่งถ้าจะไปรีสอร์ทต่อจากนั้นต้องนั่ง Sea Plane ไป
  • Sea Plane ให้บริการเฉพาะช่วงกลางวัน จนถึง 18.00 น. ก็จะงดบิน เพื่อความปลอดภัย เพราะฉะนั้นถ้าเครื่องลงใกล้ 6 โมง ก็ต้องนอนในเมืองก่อน

สำหรับการนั่งเครื่องบินจากเมืองไทยไปมัลดีฟส์ สายการบินเดียวที่บินไปโดยตรงแบบไม่แวะคือ Bangkok Airways ซึ่งเวลาไปถึงที่โน่นก็ 16.00 – 16.30 แล้ว ทำให้หลายคนเลือกนอนในเมืองก่อน 1 คืนแล้วค่อยไปที่รีสอร์ทกลางน้ำที่จองไว้

สวัสดีมัลดีฟส์

เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเครื่อง Bangkok Airway ซึ่งผมว่าดีกว่าที่คิดไว้นะ บริการดี อาหารอร่อยกว่าการบินไทยซะอีก แถมมี Lounge ให้นั่งระหว่างรอเครื่องที่สุวรรณภูมิด้วย กินน้ำ กินขนมฟรี

ขึ้นเครื่องประมาณ 4 ชั่วโมง ไม่นานมาก กินข้าว ดูหนังบนเครื่อง แป๊บเดียวก็ถึงละ


นั่งแถวหน้าสุดของ Economy จะได้ที่กว้าง และที่ทานข้าวแบบพับเก็บ สามารถแจ้งตอน Check-in ได้ว่าอยากนั่งตรงนี้
อาหารบทเครื่อง อร่อยนะ โซ้ยไม่เหลือเลย

คือด้วยความที่มัลดีฟส์ เป็นสถานที่เที่ยวแบบไฮโซว์ยอดฮิต เราเลยคิดว่าสนามบินมันคงใหญ่โตหรูหรา แต่หลังจากนั่งเครื่องถึงสนามบินมาเลแล้ว ก็ต้องตะลึงกับสนามบินของที่นี่ คือเล็กมันม๊ากกก เล็กกว่าสนามบินเชียงใหม่อีกมั้ง

สภาพหลังออกจากด่านตรวจคนเข้าเมือง รับประเป๋าเสร็จ ภายนอกไม่มีแอร์นะจ๊ะ ร้อนตับแตกพอสมควร แถมช่วงนี้สนามบินกำลังปรับปรุง สภาพเลยเหมือนหมอชิตนิดหน่อย


เราเดินเข็นกระเป๋าออกมา ก็มีพนักงานหลายสิบโรงแรมยืนถือป้ายชื่อคนมาพักรออยู่ เราสองคนพักที่ Trader Hotel (ตามแพ็คเกจที่ซื้อมา) ซึ่งเซลล์โม้ไว้ว่าเป็นรร.ที่ดีที่สุดในเมืองมาเลแล้ว


พนักงานรร. Trader พาพวกเราไปขึ้นเรือข้ามฟาก ซึ่งดูใหม่ดี และมีแจกน้ำเย็นๆ บนเรือด้วย ค่อยเริ่มรู้สึกว่ามาฮันนีมูนหน่อย

นั่งเรือแค่ 5 นาทีก็มาถึงท่าน้ำแล้ว เร็วมากๆ จากนั้นก็เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึง Trader Hotel

Trader Hotel โรงแรม 5 ดาวแห่งเดียวในมาเล

ข้างในโรงแรมดูหรูหรา ตกแต่งดี สะอาด สมกับเป็นโรงแรมในเครือแชงกรีล่า พนักงานพูดภาษาอังกฤษฟังไม่ยากเท่าไหร่ และก็ดูสุภาพดีมากๆ

ห้องนอนกว้างมากๆ

ห้องน้ำสวยดี แถมเป็นกระจกรอบห้องด้วย (กรี๊ดดดด)

ภายในโรงแรมมี Fitness, สระว่ายน้ำ และห้องอาหารหรูบนดาดฟ้าด้วย ผิดกับโดยรอบที่เป็นตึกแคบๆ เน้นประหยัดพื้นที่

มีหนังไทยให้ดูด้วย ที่ฉายอยู่คือองค์บาก

เดินเล่นรอบเมืองมาเล

คืนแรกเราต้องหาข้าวทานกันเอง ก็เลยเดินรอบๆ เมืองดู เนื่องจากได้ยินว่าพิซซ่าเตาถ่านที่นี่อร่อย (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมร้านพิซซ่าอร่อยๆ ถึงต้องมาอยู่ริมทะเลตลอดเลยนะ)


ระหว่างทางก็เดินรอบเมือง พบว่ามาเลเป็นเมืองที่แออัดมาก คนส่วนใหญ่เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ มีซอยเล็กซอยน้อยมากมาย เดินต้องระวังด้วยว่าจะมีแว๊นโผล่ออกมาเมื่อไหร่

มี Magnum ขายด้วย แท่งละ 60 บาท

เข้าเขตร้านอาหาร เราพบแขกเดินเข้ามาประกบ คือไม่ได้มาขอทาน แต่เชิญชวนให้เราไปซื้อของร้านของเขา เราบอกไม่เอาๆ ก็จะเดินตามไปเรื่อยๆ

ตอนแรกรู้สึกว่าน่ากลัว ตอนหลังเริ่มชินเพราะดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร คล้ายๆ เวลาฝรั่งเดินในพัฒพงษ์นั่นแล

ร้านพิซซ่าที่เราเลือกกินอยู่กลางเมือง จำชื่อร้านไม่ได้ แต่ราคาก็โหดอยู่เหมือนกัน น้ำขวดละ 30 บาท, โค้กขวดละ 100 บาท, พิซซ่าถาดละ 500 บาท

ถึงจะราคาแพงแต่ก็อร่อยดี ใครอยากลองพิซซ่าเตาถ่านแท้ๆ ลองมาชิมที่มัลดีฟส์ได้ฮะ

มื้อแรกโดนไปเก้าร้อยกว่าบาท -__-“

ระหว่างทางกลับห้องพัก ก็ไปเจ๊อะกับป้าย ที่ทำเอามือไม้สั่น เพราะมันคือ …

iPhone 5 !! เฮ้ย มันขายก่อนเมืองไทยอีกเว้ย

คุณนายเห็นป้ายปุ๊บ พยายามคว้าตัวไว้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้่ว แฟนพันธุ์แท้ตัวลอยเข้าไปในร้าน ลั้นลาลองเล่น iPhone 5 อย่างสนุกสนาน (ตอนนั้นเพิ่งเคยจับครั้งแรก)

ช่วงโฆษณา: อ่านรีวิว iPhone 5 แบบแฟนพันธุ์แท้ ได้จากเว็บ MacThai.com

กลับถึงห้อง นอนพักผ่อน เตรียมตัวไปรีสอร์ทกลางน้ำในฝันของเรา Centara Grand Maldives ทริปฮันนีมูนจริงๆ เริ่มต้นจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป !!

อ่าน : ฮันนีมูนมัลดีฟส์ ตอนที่ 2 : สู่รีสอร์ทในฝัน Centara Grand Maldives

อ่านเพิ่มเติม